คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีก่อนจำเลยเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอัน เกิดจากการใช้เช็ค และเบิกความว่าโจทก์ออกเช็คแลกเงินสดไปจากจำเลย ศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ออกเช็คดังกล่าวให้จำเลยเป็นประกันการกู้ยืม โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยกล่าวหาจำเลยฟ้องเท็จและเบิกความเท็จในคดีก่อน ดังนี้คำชี้ขาดของศาลในข้อเท็จจริงในคดีก่อนนั้นต้องถือว่ายุติระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนั้น ส่วนคดีหลังนี้ก็ชอบที่ศาลจะต้องพิจารณาพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้เป็นสำคัญ จะถือเอาข้อเท็จจริงซึ่งยุติในคดีก่อนมาผูกมัดให้ศาลวินิจฉัยคดีหลังตามหาได้ไม่ ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเพียงพยานหลักฐานส่วนหนึ่งซึ่งศาลอาจใช้ประกอบการพิจารณาคดีหลังเท่านั้น ศาลจึงวินิจฉัยคดีหลังนี้โดยไม่ต้องถือตามข้อเท็จจริงในคดีเรื่องก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานออกเช็คโดยไม่มีเงินอยู่ในบัญชีพอจ่าย และเบิกความเท็จในคดีดังกล่าวว่า โจทก์ออกเช็คแลกเงินสดไปจากจำเลย ๔๐,๐๐๐ บาท เมื่อจำเลยเอาเช็คไปเข้าบัญชี ธนาคารส่งเช็คและใบคืนเช็คมา โดยอ้างว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่าย การออกเช็คดังกล่าวออกให้แทนสัญญายืม และเบิกความอีกว่า โจทก์กู้เงินจากจำเลย ๔๐,๐๐๐ บาท ได้ทำสัญญากู้เป็นหนังสือให้จำเลยยึดถือไว้ เป็นหนี้คนละรายกับเช็คฉบับที่จำเลยฟ้องความจริงเช็คฉบับที่จำเลยฟ้องโจทก์ออกให้โดยเสียผลประโยชน์ให้จำเลยสองพันบาท และโจทก์ได้โอนโฉนดที่ดินชำระหนี้ตามเช็คดังกล่าวให้จำเลยแล้ว จำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่จำเลยเบิกความนั้นเป็นเท็จ และจำเลยขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการโดยรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่ฟ้องโจทก์นั้นเป็นความเท็จทั้งสิ้น ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๗, ๑๗๒, ๑๗๓, ๑๗๔, ๑๗๕, ๘๓, ๘๔
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาของศาลในคดีก่อนว่า โจทก์ออกเช็คพิพาทให้จำเลยเป็นประกันการกู้ยืม จำเลยเบิกความในคดีก่อนว่าโจทก์ออกเช็คดังกล่าวแลกเงินสดจากจำเลย จึงเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จและการที่จำเลยเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีก่อนซึ่งฟ้องว่าโจทก์ออกเช็คให้จำเลยเพื่อชำระหนี้ จำเลยก็ต้องมีความผิดฐานฟ้องเท็จอีกกระทงหนึ่ง พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๕, ๑๗๗ ลงโทษจำเลยกระทงหนักตามมาตรา ๑๗๕ วางโทษจำคุก ๑ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยในคดีนี้คือโจทก์ร่วมในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๕๒๙๒/๒๕๑๔ ของศาลอาญาและโจทก์คดีนี้ก็คือจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวในคดีนั้นต่างฝ่ายต่างกล่าวหาซึ่งกันและกัน ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติประการใดก็ควรผูกมัดทั้งโจทก์และจำเลยในคดีนี้ด้วยนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำชี้ขาดในข้อเท็จจริงในคดีก่อนต้องถือว่ายุติระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนั้น ส่วนในคดีนี้ก็ชอบที่ศาลจักต้องพิจารณาพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้เป็นสำคัญ จะถือเอาข้อเท็จจริงซึ่งยุติในคดีก่อนมาผูกมัดให้ศาลวินิจฉัยคดีนี้ตามนั้นหาได้ไม่ ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเพียงพยานหลักฐานส่วนหนึ่งซึ่งศาลอาจใช้ประกอบการพิจารณาคดีนี้เท่านั้น คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๒๖/๒๕๑๕ ที่โจทก์อ้างมานั้นเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งในเรื่องเดียวกันกับที่เคยฟ้องจำเลยในคดีอาญา รูปคดีไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีนี้โดยไม่ถือตามข้อเท็จจริงในคดีอาญาเรื่องก่อนนั้นชอบแล้ว และศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้ว่า การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องไม่เป็นความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ
พิพากษายืน

Share