คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 618/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกหนี้สินเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ซื้อของเชื่อไปจากบริษัท ส. มิใช่ฟ้องขอให้ชำระหนี้ฐานลาภมิควรได้ ถึงแม้โจทก์จะเขียนฟ้องตั้งรูปคดีเป็นประการใดก็ตาม แต่กรณีตามฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องเรียกหนี้สินที่ค้างชำระเกี่ยวกับจำเลยซื้อเชื่อน้ำสุราไปจากบริษัท ส. ฟ้องของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(4)
จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทจำกัด และตามฟ้องก็ฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนจากจำเลยฐานลาภมิควรได้ เนื่องจากจำเลยยึดถือทรัพย์นั้นไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ จึงต้องถือว่าของเหล่านั้นตกอยู่ในความยึดถือครอบครองของจำเลยที่ 1 เท่านั้น จำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการมิได้ยึดถือครอบครองทรัพย์เป็นการสว่นตัวแต่อย่างใด จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1
ฎีกาโจทก์มิได้กล่าวโดยชัดแจ้งว่า โจทก์จะได้ดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2502 ด้วยเหตุใดจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำให้การข้อ 3 จำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้โดยชัดแจ้งว่าฟ้องข้อ 3 ของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1)(17) ซึ่งเป็นเรื่องซื้อของเชื่อ ส่วนคำให้การข้อ 6 ซึ่งจำเลยให้การต่อสู้เกี่ยวกับฟ้องข้อ 4 นั้น จำเลยให้การว่าทรัพย์ไปตกอยู่ที่จำเลยที่ 1 และโจทก์ขอมาในคำขอท้ายฟ้องข้อ 1 ให้จำเลยใช้เงินค่าทรัพย์สินฐานลาภมิควรได้ จำเลยขอต่อสู้และตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีสิทธิและอำนาจขอให้จำเลยใช้ค่าทรัพย์สินได้ตามกฎหมาย เพราะไม่ใช่เรื่องการซื้อขายทรัพย์สินหรือเรื่องละเมิด หรือในกรณีพิพาทที่จะฟ้องร้องเอาเงินได้ตามกฎหมาย แต่เป็นเรื่องลาภมิควรได้ และในเรื่องลาภมิควรได้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิหรืออำนาจฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าทรัพย์สิน ดังนี้ เห็นว่า จำเลยไม่ได้ยกอายุความขึ้นสู้ในเรื่องลาภมิควรได้เลย
โจทก์บรรยายฟ้องแล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้รับ ขวด หีบ และกระสอบไปโดยไม่มีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ จึงเป็นการได้ในฐานลาภมิควรได้ ซึ่งตามธรรมดาก็จะฟ้องขอให้คืนตัวทรัพย์ก่อน เมื่อไม่สามารถคืนได้ จึงให้ใช้ราคาแทน แม้คำขอท้ายฟ้องจะมิได้ขอให้จำเลยคืนตัวทรัพย์ก่อน เมื่อไม่สามารถคืนได้ จึงให้ใช้ราคาแทน แม้คำขอท้ายฟ้องจะมิได้ขอให้จำเลยคืนตัวทรัพย์ก็ตาม ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให้จำเลยคืนตัวทรัพย์ ถ้าไม่สามารถคืนได้ก็ให้ใช้ราคา ไม่เป็นการนอกเหนือหรือเกินคำขอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ ๒ เป็นประธานกรรมการ และจำเลยที่ ๓ เป็นกรรมการบริษัทสุราภาคใต้ผิดสัญญาต้มกลั่น กรมสรรพสามิตจึงฟ้องนายวิจิตรผู้จัดการ บริษัทสุราภาคใต้จดทะเบียนเลิกบริษัท และแต่งตั้งโจทก์เป็นผู้ชำระบัญชี โจทก์พบหลักฐานว่าจำเลยที่ ๑ ซื้อสุราต่าง ๆ ไปจากบริษัทสุราภาคใต้และเป็นหนี้ค่าน้ำสุรา ค่าภาษีโภคภัณฑ์ ภาษีบำรุงเทศบาล ค่าหีบและค่าขวดเปล่า รวมเป็นเงิน ๓๓๓,๕๓๔ บาท ต่อมาได้รับชำระหนี้ คงค้างเพียง ๑๖๑,๕๐๑ บาท
ก่อนที่นายวิจิตรผู้จัดการบริษัทสุราภาคใต้ถูกกรมสรรพาสามิตฟ้องเรียกเงินฐานผิดสัญญา นายชัยยศกรรมการบริหารของบริษัทสุราภาคใต้ได้สั่งให้จำเลยที่ ๓ ดูแลแทนนายวิจิตร จำเลยที่ ๓ สั่งให้นายประเวศเจ้าหน้าที่ของบริษัทสุราภาคใต้ขนขวดสุราสีดาของบริษัท ราคารวมเป็นเงิน ๘๘,๐๘๘ บาท ขวดสีขาวรวมราคาเป็นเงิน ๓๗,๑๘๐ บาท บรรจุกระสอบ ๑,๐๖๒ กระสอบใส่หีบไม้รวม ๒๔๐ หีบ ส่งไปยังบริษัทจำเลยที่ ๑ โดยนายวิจิตรไม่รู้เรือง จึงเป็นลาภมิควรได้โดยจำเลยทั้งสามไม่มีอำนาจยึดไว้ โจทก์ทราบเรื่องจึงได้มีหนังสือเตือนให้จำเลยที่ ๒ คืนเงินค่าสิ่งของกับค่ากระสอบป่าน ๑,๐๖๒ กระสอบราคาใบละ ๕ บาท เป็นเงิน ๕,๐๑๐ บาท และค่าหีบบรรจุขวด ๒๔๐ หีบ ราคาใบละ ๑๐ บาท เป็นเงิน ๒,๔๐๐ บาท ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้หนี้ค่าน้ำสุรา ค่าภาษีและอื่น ๆ จำนวน ๑๖๑,๕๑๑ บาท ค่าขวดต่าง ๆ เป็นเงิน ๑๒๕,๒๖๕ บาท กับค่าหีบและค่ากระสอบเป็นเงิน ๗,๔๑๐ บาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๒๙๔,๔๘๙ บาท กับให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๐๑ จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๔ ปี ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี เป็นเงิน ๘๘,๓๔๖.๔๐ บาท
จำเลยให้การว่าจำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ค่าน้ำสุราค่าภาชนะบรรจุตามรายการต่าง ๆ แห่งหนี้โดยดราฟท์คิดเป็นเงิน ๑๗๒,๐๒๓ บาท ให้แก่บริษัทสุราภาคใต้เสร็จสิ้นแล้ว หนี้ค่าน้ำสุราต่าง ๆ และค่าภาชนะบรรจุขวดสุราตามฟ้องข้อ ๓ เป็นหนี้ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕ (๙๑)(๑๗)
จำเลยที่ ๓ รับว่า โดยคำสั่งของนายชัยยศ ได้สั่งให้จำเลยที่ ๓ สั่งคนงานของบริษัทจัดส่งขวดสีดำและสีขาวไปยังบริษัทจำเลยที่ ๑ แต่ไม่ใช่ตามที่ฟ้อง จำเลยที่ ๓ กระทำไปโดยสุจริต แต่ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของบริษัทสหการสุราชุมพร กรณีไม่ใช่เรื่องการซื้อขายหรือละเมิดแต่เป็นเรื่องลาภมิควรได้ โจทก์ไม่มีสิทธิและอำนาจฟ้องไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ย เพราะคดีโจทก์ขาดอายุความ ฯลฯ
จำเลยที่ ๒-๓ ไม่ได้เกี่ยวข้องทำผิดอะไรโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๒-๓ ให้รับผิดเป็นส่วนตัว
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำนวนเงินที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าสุรา ค่าภาษีโภคภัณฑ์ ค่าภาษีบำรุงเทศบาล กับค่าหีบและค่าขวดเปล่าเป็นการเรียกค่าซื้อของเชื่อ ฟ้องข้อนี้ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕(๑) การฟ้องเรียกคืนฐานลาภมิควรได้ โจทก์จะต้องฟ้องเรียกคืนขวด หีบ และกระสอบแก่จำเลยก่อน คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ราคาทรัพย์ที่เดียว ศาลไม่อาจบังคับให้จำเลยชดใช้ราคาทรัพย์ตามคำฟ้องของโจทก์ได้และบังคับให้จำเลยคืนทรัพย์แก่จำเลยในชั้นนี้ก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะเกินคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ พิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องตามสิทธิของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยที่ ๑ คืนขวดสุราสีดำสีขาว กระสอบหีบไม้ ถ้าไม่คืนก็ให้ใช้ราคาเป็นเงิน ๑๑๘,๕๖๓.๖๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องข้อ ๓ เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกหนี้สินเกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ซื้อของเชื่อสุราไปจากบริษัทสุราภาคใต้ มิใช่ฟ้องขอให้ชำระหนี้ฐานลาภมิควรได้ ถึงแม้โจทก์จะเขียนฟ้องตั้งรูปคดีเป็นประการใดก็ตาม แต่กรณีตามฟ้องของโจทก์ฟ้องข้อ ๓ ก็เป็นเรื่องฟ้องเรียกหนี้สินที่ค้างชำระเกี่ยวกับจำเลยซื้อเชื่อน้ำสุราไปจากบริษัทสุราภาคใต้ ฟ้องของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๖๕(๑)
มูลกรณีเรื่องเป็นเรื่องบริษัทสุราภาคใต้ส่งขวดไปให้บริษัทจำเลยที่ ๑ และตามฟ้องข้อ ๔ ก็ฟ้องเรียก ขวด หีบ และกระสอบ คืนจากจำเลยฐานลาภมิควรได้ เนื่องจากจำเลยยึดถือทรัพย์เหล่านั้นไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ จึงต้องถือว่าของเหล่านั้นตกอยู่ในความยึดครอบครองจำเลยที่ ๑ เท่านั้น จำเลยที่ ๒ ในฐานะประธานกรรมการและจำเลยที่ ๓ ในฐานะเป็นกรรมการผู้จัดการ ก็เป็นผู้มีหน้าที่บริหารงานของบริษัทจำเลยที่ ๑ ตามหน้าที่เท่านั้น จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ มิได้ยึดถือครอบครองทรัพย์ดังกล่าวเป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑
ฎีกาของโจทก์มิได้กล่าวโดยชัดแจ้งว่า โจทก์จะได้ดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๐๒ ด้วยเหตุใด จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ตามฎีกาของจำเลย ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ขวด หีบ และกระสอบเป็นทรัพย์ของบริษัทสุราใต้ จำเลยที่ ๑ ได้ไปโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ก็ต้องคืนให้โจทก์ฐานลาภมิควรได้
จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า ข้อที่โจทก์ฟ้องเรียกขวด หีบ และกระสอบ คืนจากจำเลยนั้น จำเลยได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ ข้อ ๗ แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยได้ให้การโดยชัดแจ้ง แยกเป็นข้อ ๆ ไว้แล้ว คือ ตามคำให้การข้อ ๓ ของจำเลย จำเลยได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้โดยชัดแจ้งว่าฟ้องข้อ ๓ ของโจทก์ขาดอายคุวามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕(๑)(๑๗) ส่วนคำให้การข้อ ๖ ซึ่งจำเลยให้การต่อสู้ว่าเกี่ยวกับฟ้องข้อ ๔ นั้น จำเลยให้การว่าทรัพย์ดังกล่าวไปตกอยู่ที่จำเลยที่ ๑ และโจทก์ขอมาในคำขอท้ายฟ้องข้อ ๑ ให้จำเลยใช้เงินค่าทรัพย์สินฐานลาภมิควรได้ จำเลยขอต่อสู้และตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีสิทธิและอำนาจของให้จำเลยใช้ค่าทรัพย์สินดังกล่าวได้ตามกฎหมาย เพราะไม่ใช่เรื่องการซื้อขายทรัพย์สินหรือเรื่องละเมิด หรือในกรณีพิพาทที่จะฟ้องร้องเอาเงินได้ตามกฎหมาย แต่เป็นเรื่องลาภมิควรได้ และในเรื่องลาภมิควรได้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิหรืออำนาจฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าทรัพย์สิน ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้เลย
คดีนี้ โจทก์บรรยายฟ้องโดยชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยที่ ๑ ได้รับขวด หีบ และกระสอบไปโดยไม่มีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ จึงเป็นการได้ไปฐานลาภมิควรได้นั่นเอง ซึ่งตามธรรมดาก็จะต้องขอให้คืนตัวทรัพย์ดังกล่าวก่อน เมื่อไม่สามารถคืนตัวทรัพย์ดังกล่าวก็ตาม ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให้จำเลยคืนตัวทรัพย์ดังกล่าว ถ้าไม่สามารถคืนได้ ก็ให้ใช้ราคา ไม่เป็นการนอกเหนือหรือเกินคำขอของโจทก์
พิพากษายืน.

Share