แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่นๆ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 นั้น ก็คือการฟ้องขอบังคับจำนองนั่นเอง เมื่อคดีก่อนศาลชั้นต้นยกคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองของผู้ร้องด้วยเหตุที่ผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบในวันนัดไต่สวนนั้น เท่ากับว่าผู้ร้องไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนข้ออ้างในประเด็นแห่งคดีของผู้ร้อง อันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นอันเป็นเนื้อหาแห่งคดีของผู้ร้องแล้ว หาใช่ว่าศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาพยานหลักฐานหรือวินิจฉัยเนื้อหาในคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองไม่ เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งถึงที่สุดให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงจะมายื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองในคดีนี้ซึ่งมีประเด็นที่ศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยชี้ขาดโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีกไม่ได้ เป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 คำร้องของผู้ร้องจึงเป็นคำร้องซ้ำ
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 92179, 92227 แขวงบางขุนเทียน (บ้านประทุน) เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานครและที่ดินโฉนดเลขที่ 123431 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าจำเลยที่ 2 จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวแก่ผู้ร้อง ต่อมาผู้ร้องได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 กับพวกต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 2 กับพวกชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้อง แต่จำเลยที่ 2 กับพวกไม่ชำระ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองก่อนเจ้าหนี้รายอื่น
ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องแล้ว แต่ศาลยกคำร้องเพราะผู้ร้องไม่มีพยานมาไต่สวน ผู้ร้องจะยื่นคำร้องนี้อีกไม่ได้ เป็นคำร้องซ้ำยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า ภายหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 3739/2551 หมายเลขแดงที่ 2785/2542 โดยพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ในคดีนี้กับพวกชำระหนี้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 28 กันยายน 2544 ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องในฐานะผู้รับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 92179, 92227 และ 123431 พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งโจทก์ในคดีนี้ยึดไว้ได้รับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้รายอื่น ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าพิเคราะห์แล้วผู้ร้องไม่มีพยานมาไต่สวน ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ ครั้นวันที่ 26 มีนาคม 2545 ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องในทำนองเดียวกับคำร้องฉบับลงวันที่ 28 กันยายน 2544 อีก สำหรับที่ผู้ร้องฎีกาในทำนองว่า ทนายผู้ร้องมิได้จงใจไม่ไปศาลในวันนัดไต่สวนคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองฉบับลงวันที่ 28 กันยายน 2544 นั้น เห็นว่า ผู้ร้องเคยยกประเด็นนี้ขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยการที่ผู้ร้องฎีกาอ้างเหตุดังกล่าวอีก โดยมิได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ไม่รับวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวให้ว่าไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ฎีกาในข้อนี้ของผู้ร้องจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องเพียงประการเดียวว่า คำร้องของผู้ร้องเป็นคำร้องซ้ำกับคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองฉบับลงวันที่ 28 กันยายน 2544 หรือไม่ เห็นว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่นๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 นั้น ก็คือการฟ้องขอบังคับจำนองนั่นเอง เมื่อคดีก่อนศาลชั้นต้นยกคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองของผู้ร้องด้วยเหตุที่ผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบในวันนัดไต่สวนนั้น เท่ากับว่าผู้ร้องไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนข้ออ้างในประเด็นแห่งคดีของผู้ร้อง อันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นอันเป็นเนื้อหาแห่งคดีของผู้ร้องแล้วหาใช่ว่าศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาพยานหลักฐานหรือวินิจฉัยเนื้อหาในคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองดังที่ผู้ร้องฎีกาไม่ เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งถึงที่สุดให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงจะมายื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองในคดีนี้ซึ่งมีประเด็นที่ศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยชี้ขาดโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีกไม่ได้ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 คำร้องของผู้ร้องจึงเป็นคำร้องซ้ำที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน