คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6167/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อนายดาบตำรวจ ท.ใช้ไฟสปอทไลท์ ส่องไปยังเรือยนต์ของพวกคนร้ายพร้อมกับแจ้งให้ทราบว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ กลุ่มคนร้ายก็ใช้อาวุธปืนยิงมาทาง เรือยนต์ ของตำรวจน้ำ 4 ถึง 5 นัด ทันที และเมื่อเจ้าพนักงานยิงโต้ตอบไปประมาณ 3 ถึง 4 นัด กลุ่มคนร้ายก็ยังใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้ มาอีกเป็นชุด ๆ หลายนัดแม้ขณะเรือยนต์ตำรวจน้ำไล่ติดตามพวกคนร้ายไป กลุ่มพวกคนร้าย ก็ใช้อาวุธปืนยิงมาทางเรือยนต์ ตำรวจน้ำเป็นระยะ ๆ ซึ่งอาวุธปืนที่กลุ่มพวกคนร้ายใช้ยิงนั้น ปรากฏต่อมาว่า เป็นอาวุธที่ร้ายแรงมีประสิทธิภาพในการทำลายสูงและ แม่นยำต่อเป้าหมาย หากยิงในระยะห่างประมาณ 50 ถึง 60 เมตร ย่อมสามารถหวังผลต่อเป้าหมายได้ แต่ก็ไม่ปรากฏว่า กระสุนปืนที่กลุ่มคนร้ายใช้ยิงถูกเจ้าพนักงานหรือ มีร่องรอยปรากฏให้เห็นที่เรือยนต์ของตำรวจน้ำ ทั้ง ๆ ที่ เรือยนต์มีความยาวประมาณ 50 เมตร และกว้าง 2.50 เมตร แสดงว่าจำเลยทั้งสองกับพวกมิได้มีเจตนาที่จะยิงเจ้าพนักงาน คนหนึ่งคนใด พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองกับพวกยิงปืนดังกล่าว ไม่น่าเชื่อว่าเป็นการยิงในลักษณะมุ่งเล็งต่อเป้าหมาย อาจเป็นเพียงการยิงขู่เพื่อมิให้เจ้าพนักงาน ติดตามจับกุมเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 33, 80, 83, 91, 138, 140, 288, 289, 371พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 38, 55,72 ทวิ, 78 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522มาตรา 11, 12, 18, 62, 81 ริบของกลางและเพิ่มโทษจำเลยทั้งสองตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และรับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษตามฟ้อง ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง, 140 วรรคสาม,289(2), 80, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง, 55, 78 วรรคหนึ่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 11, 12,18 วรรคสอง, 62 วรรคหนึ่ง, 81 เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ จำคุกคนละ 2 ปีฐานร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่จำคุกตลอดชีวิต ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ 20 วัน ฐานอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ 20 วัน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 15 ปี และฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพฐานเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้รับอนุญาตคนละ 10 วันฐานอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 10 วันเมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิตแล้วไม่จำต้องนำโทษจำคุกที่กำหนดไว้มารวมเข้ากันอีกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) ริบของกลางคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง,140 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม, 371, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง, 55,78 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522มาตรา 11, 12, 18 วรรคสอง, 62 วรรคหนึ่ง, 81 เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ จำคุกคนละ 2 ปีฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ 15 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นการกระทำผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ 20 วัน ฐานอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 20 วัน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมส่วนความผิดฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษความผิดฐานร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม ความผิดฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตและความผิดฐานอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 รวมแล้วคงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 11 ปี 8 เดือน 20 วัน และให้ยกฟ้องความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหามาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะฟ้องโจทก์ในข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ตามที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเข้าข่ายเป็นความผิดอีกกระทงหนึ่งด้วยหรือไม่ส่วนข้อหาฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมีและใช้อาวุธปืน มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไว้ในครอบครองและพกพาติดตัวไปโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และเป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตยุติตามคำพิพากษาศาลล่าง
สำหรับความผิดข้อหาดังกล่าว ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกจรูญ เรืองสูง กับสิบตำรวจโทพันธรักษ์ ชุมขุนว่า ก่อนเกิดเหตุสืบทราบว่ากลุ่มพวกคนร้ายสัญชาติพม่ามีอาวุธสงครามใช้เรือยนต์เป็นพาหนะเข้ามาหลบซ่อนอยู่ในพื้นที่ตำบลปากน้ำอำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง เพื่อก่อเหตุร้ายปล้นเรือประมงในเขตน่านน้ำสากลและเรียกค่าไถ่ ในวันเกิดเหตุร้อยตำรวจเอกจรูญได้นำกำลังตำรวจรวม 9 นาย ออกตรวจพื้นที่โดยใช้เรือยนต์ตำรวจน้ำหมายเลข 519 เป็นพาหนะแล่นไปตามลำน้ำกระบุรีส่วนทางบกก็มีกำลังตำรวจอีกจำนวนหนึ่งใช้รถยนต์เป็นพาหนะออกตรวจบริเวณชายฝั่งบ้านเขานางหงษ์ ครั้นเรือยนต์ตำรวจน้ำหมายเลข 519 แล่นไปถึงบริเวณแพของนายประจักษ์ หรือโกเจี้ยน โกยวานิช เห็นเรือยนต์ลำหนึ่งแล่นอยู่แถบชายฝั่งแม่น้ำห่างจากเรือยนต์ตำรวจน้ำประมาณ 100 เมตร มีพิรุธ นายดาบตำรวจทวิช ยังน้อย ผู้ขับเรือยนต์ตำรวจน้ำจึงใช้ไฟสปอทไลท์ ส่องไปที่เรือยนต์ลำดังกล่าว พร้อมกับใช้เครื่องขยายเสียงพูดแสดงตัวให้ทราบว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจให้เรือยนต์ลำนั้นหยุดแล่นแต่ปรากฏว่ากลุ่มชาย 3 คน ที่ถืออาวุธปืนนั่งอยู่ในเรือยนต์ใช้อาวุธปืนยิงมาทางเรือยนต์ตำรวจน้ำ 4 ถึง 5 นัด แต่กระสุนปืนไม่ถูกใครสิบตำรวจโทพันธรักษ์ได้ใช้อาวุธปืนยิงไปยังกลุ่มคนร้ายประมาณ 3 ถึง 4 นัด แต่กลุ่มคนร้ายไม่ยอมหยุดกลับยิงโต้ตอบมาเป็นชุด ๆ อีกหลายนัด จากนั้นกลุ่มคนร้ายขับเรือยนต์เลียบฝั่งเข้าไปจอดที่แพของนายประจักษ์หรือโกเจี้ยนมีคนร้าย 3 คนขึ้นจากเรือไปอยู่บนแพ 1 คน ส่วนอีก 2 คนคือจำเลยที่ 1และที่ 2 เดินประคองกันไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ห้องพักยามและถูกจับตัวได้ในเวลาต่อมา จำเลยที่ 1 มีบาดแผลถูกยิงบริเวณด้านหลังเจ้าพนักงานตำรวจยึดอาวุธปืนเอ เค 47 (อาก้า) จำนวน 2 กระบอกอาวุธปืนเอ็ม 79 จำนวน 1 กระบอก กระสุนปืนเอ เค (อาก้า)จำนวน 63 นัด ซองกระสุนปืนเอ เค 47 (อาก้า)ขนาดบรรจุ 30 นัด4 ซอง กระสุนปืนเอ็ม 79 จำนวน 2 นัด และปลอกกระสุนปืนอาร์ก้าจำนวน 5 ปลอก ได้ในเรือยนต์ของพวกคนร้าย ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อนายดาบตำรวจทวิชใช้ไฟสปอทไลท์ ส่องไปยังเรือยนต์ของพวกคนร้าย พร้อมกับแจ้งให้ทราบว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจกลุ่มคนร้ายก็ใช้อาวุธปืนยิงมาทางเรือยนต์ของตำรวจน้ำ4 ถึง 5 นัด ทันที และเมื่อสิบตำรวจโทพันธรักษ์ยิงโต้ตอบไปประมาณ 3 ถึง 4 นัด กลุ่มคนร้ายก็ยังใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้ มาอีกเป็นชุด ๆ หลายนัด แม้ขณะเรือยนต์ตำรวจน้ำไล่ติดตามพวกคนร้ายไปกลุ่มพวกคนร้ายก็ใช้อาวุธปืนยิงมาทางเรือยนต์ ตำรวจน้ำเป็นระยะ ๆซึ่งอาวุธปืนที่กลุ่มพวกคนร้ายใช้ยิงนั้น ปรากฏต่อมาว่าเป็นอาวุธที่ร้ายแรงมีประสิทธิภาพในการทำลายสูงและแม่นยำต่อเป้าหมาย หากยิงในระยะห่างประมาณ 50 ถึง 60 เมตรย่อมสามารถหวังผลต่อเป้าหมายได้ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ากระสุนปืนที่กลุ่มพวกคนร้ายใช้ยิงถูกเจ้าพนักงานตำรวจหรือมีร่องรอยปรากฏให้เห็นที่เรือยนต์ของตำรวจน้ำ ทั้ง ๆ ที่เรือยนต์มีความยาวประมาณ 50 เมตร และกว้าง 2.50 เมตร แสดงว่าจำเลยทั้งสองกับพวกมิได้มีเจตนาที่จะยิงเจ้าพนักงานตำรวจคนหนึ่งคนใด พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองกับพวกยิงปืนดังกล่าวไม่น่าเชื่อว่าเป็นการยิงในลักษณะมุ่งเล็งต่อเป้าหมายอาจเป็นเพียงการยิงขู่เพื่อมิให้เจ้าพนักงานตำรวจติดตามจับกุมเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องในข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share