คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 499/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนศาลชั้นต้นได้พิพากษาโดยวินิจฉัยว่า ขณะที่โจทก์ฟ้องสัญญาเช่าตึกแถวและที่ดินพิพาทยังไม่สิ้นสุดระยะเวลาเช่า จำเลยยังมีสิทธิอยู่อาศัยในอาคารและที่ดินพิพาทตามสัญญาเช่า กรณีจึงเป็นเรื่องที่ยังมิได้มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลย ยังไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะฟ้องจำเลยได้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 โดยที่ศาลยังมิได้วินิจฉัยเนื้อหาตามประเด็นที่โจทก์ฟ้อง การที่จะเป็นกรณีฟ้องซ้ำต้องห้าม จะต้องเป็นกรณีที่ศาลได้วินิจฉัยข้อหาในประเด็นแห่งคดีแล้วโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เป็นการฟ้องภายหลังจากที่สัญญาเช่าครบกำหนด และมีการแจ้งให้จำเลยออกจากที่เช่าแล้ว จำเลยไม่ยินยอมออกเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่พิพาทและผู้ใช้สิทธิครอบครองตึกแถว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55มิใช่เป็นเรื่องรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 คำฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์ได้รับโอนที่พิพาทและสิทธิการเช่าตึกแถวจาก ส.แล้วโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ ณ ภูมิลำเนาของโจทก์ และตามสัญญาเช่ามิได้กำหนดว่าจะชำระค่าเช่ากันที่ใดจำเลยจึงต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ณ ภูมิลำเนาของโจทก์การที่จำเลยนำค่าเช่าไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์จึงมิใช่เป็นการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้หรือแก่บุคคลผู้มีอำนาจรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้ ทั้งมิใช่การชำระหนี้ ณ ภูมิลำเนาของเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 315ประกอบมาตรา 324 จำเลยจะให้โจทก์ไปรับเงินค่าเช่าจากสำนักงานวางทรัพย์หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกแถวเลขที่ 1077, 1079 และ 1081 และที่ดินโฉนดเลขที่ 13800ของโจทก์ให้จำเลยชำระเงิน 355,200 บาท และค่าสินไหมทดแทนเดือนละ 226,800 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะได้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกแถวและที่ดินดังกล่าว
จำเลยให้การว่า คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับการเช่าที่ดินเป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์เคยฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 10565/2536 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดให้ยกฟ้อง โจทก์ฟ้องโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกแถวเลขที่ 1077, 1079 และ 1081 และที่ดินโฉนดเลขที่ 13800ให้จำเลยชำระเงิน 42,000 บาท และค่าสินไหมทดแทนของตึกแถวเดือนละ 3,000 บาท ต่อห้อง และของที่ดินเดือนละ 9,000 บาทนับแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2536 จนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกแถวและที่ดินดังกล่าว
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 36,000 บาทและค่าเสียหายเดือนละ 14,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากตึกแถวและที่พิพาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2522 นายสมศักดิ์ อ่อนอำไพ ได้ให้จำเลยเช่าตึกแถวเลขที่ 1077 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินแปลงหมายเลขโฉนดที่ 13800 มีกำหนด 13 ปี 6 เดือน โดยมิได้จดทะเบียนการเช่าในวันที่ 3 เมษายน 2533 นายสมศักดิ์ได้ให้จำเลยเช่าตึกแถวเลขที่ 1079, 1081 มีกำหนด 3 ปี จะสิ้นสุดอายุสัญญาในวันที่3 เมษายน 2536 ในวันที่ 3 เมษายน 2533 นายสมศักดิ์ ได้ให้จำเลยเช่าที่ดินแปลงหมายเลขโฉนดที่ 13800 ด้านหลังตึกแถวพิพาทที่ให้จำเลยเช่าจำนวน 100 ตารางวา มีกำหนด 3 ปี จะสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 3 เมษายน 2536 เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2533 นายสมศักดิ์ได้ทำสัญญาขายที่ดินแปลงหมายเลขโฉนดที่ 13800 ดังกล่าวข้างต้นหมดทั้งแปลงให้แก่โจทก์ และในวันที่ 9 ตุลาคม 2533 นายสมศักดิ์ได้ทำหนังสือสัญญาโอนสิทธิการเช่าโดยมอบสิทธิการครอบครองอาคารพาณิชย์ห้องเลขที่ 148/44 ถึง 148/51 ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินแปลงหมายเลขโฉนดที่ 13800 ให้แก่โจทก์ให้มีอำนาจดูแลรักษาเก็บผลประโยชน์จากอาคารพาณิชย์และให้มีอำนาจตามที่กฎหมายกำหนดไว้ปรากฏตามสัญญาโอนสิทธิการเช่าเอกสารหมาย จ.9 และโจทก์ได้แจ้งการโอนสิทธิการเช่าให้จำเลยทราบตามเอกสารหมาย จ.1นอกจากนี้โจทก์ได้เคยฟ้องขับไล่จำเลยคดีถึงที่สุดแล้วตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 10565/2536 ของศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยให้การอ้างว่า โจทก์มิได้ระบุอ้างในคำฟ้องว่าจำเลยเช่าที่ดินส่วนใดของที่ดินกว้างและยาวเท่าใดอยู่ติดกับห้องแถวห้องใดบ้าง เช่าตามเนื้อที่โฉนดหรือไม่และใครเป็นผู้เช่าทำประโยชน์ในเนื้อที่ดินเท่าใด จึงเป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุมนั้น เห็นว่า โจทก์ได้ระบุอ้างในคำฟ้องว่าจำเลยเช่าที่ดินของโจทก์แปลงหมายเลขโฉนดที่ดินที่ 13800จำนวน 100 ตารางวา อยู่ด้านหลังตึกแถวที่จำเลยเช่า คิดค่าเช่าเดือนละ 300 บาท โดยระบุอ้างภาพถ่ายโฉนดที่ดินและสัญญาเช่าตามเอกสารท้ายฟ้องประกอบคำฟ้อง ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องมาด้วยแล้ว โดยตามภาพถ่ายโฉนดได้ระบุ ถนน ตำบล อำเภอ จังหวัดอันเป็นที่ตั้งของที่ดินไว้ด้วยแล้ว จากข้อที่โจทก์บรรยายฟ้องดังกล่าวบุคคลผู้เป็นวิญญูชนย่อมทราบได้ดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เช่าที่ดินแปลงอื่นของโจทก์อีกด้วยแต่คงมีที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์แปลงนี้เพียงแปลงเดียวเท่านั้นจึงไม่มีเหตุที่จะทำให้จำเลยหลงต่อสู้หรือต่อสู้คดีไม่ถูกต้องตามที่จำเลยอ้างแต่อย่างใด ทั้งโจทก์ยังได้แสดงแผนที่สังเขปแสดงที่ดินที่จำเลยเช่าไว้ด้วย ตามเอกสารท้ายฟ้องถึงแม้แผนที่สังเขปแสดงไว้จะไม่มีมาตราส่วนของความกว้างยาวที่ถูกต้อง ก็เป็นการแสดงอธิบายประกอบให้เห็นโดยชัดแจ้งแล้วโดยที่ไม่จำเป็นต้องระบุข้อเท็จจริงดังที่จำเลยอ้างก็เป็นคำฟ้องที่แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อกล่าวหาและแจ้งชัดซึ่งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อกล่าวหาแล้ว คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 10565/2536ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า คดีก่อนศาลชั้นต้นได้พิพากษาโดยวินิจฉัยว่า ขณะที่โจทก์ฟ้องสัญญาเช่าตึกแถวและที่ดินพิพาทยังไม่สิ้นสุดระยะเวลาเช่า โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกการเช่าและยังไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยยังมีสิทธิอยู่อาศัยในอาคารและที่ดินพิพาทตามสัญญาเช่า กรณีจึงเป็นเรื่องที่ยังมิได้มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลย ยังไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะฟ้องจำเลยได้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 โดยที่ศาลยังมิได้วินิจฉัยเนื้อหาตามประเด็นที่โจทก์ฟ้อง แต่เป็นกรณีที่ศาลได้ยกฟ้องโจทก์ในคดีดังกล่าวไปเพราะเหตุที่ยังมิได้มีข้อโต้แย้งโดยยังไม่มีเหตุที่จะให้ศาลวินิจฉัยเนื้อหาในประเด็นแห่งคดี การที่จะเป็นกรณีฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 จะต้องเป็นกรณีที่ศาลได้วินิจฉัยข้อหาในประเด็นแห่งคดีแล้ว ตามคำฟ้องของโจทก์ที่ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เป็นการฟ้องภายหลังจากที่สัญญาเช่าครบกำหนด และมีการแจ้งให้จำเลยออกจากที่เช่าแล้ว จำเลยไม่ยินยอมออกเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่พิพาทและผู้ใช้สิทธิครอบครองตึกแถว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 และมีเหตุที่จะให้ศาลวินิจฉัยตามข้ออ้างที่โจทก์กล่าวหาในประเด็นแห่งคดีคำฟ้องของโจทก์จึงมิใช่เป็นเรื่องรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 คำฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า จำเลยต้องชำระค่าเช่าแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 315 บัญญัติว่า “อันการชำระหนี้นั้นต้องทำให้แก่ตัวเจ้าหนี้หรือแก่บุคคลผู้มีอำนาจรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้” และมาตรา 324บัญญัติว่า “เมื่อมิได้แสดงเจตนาไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าจะพึงชำระหนี้ ณ สถานที่ใดไซร้ ท่านว่าต้องชำระหนี้ ณ สถานที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาปัจจุบันของเจ้าหนี้” เมื่อโจทก์ได้รับโอนที่พิพาทและสิทธิการเช่าตึกแถวจากนายสมศักดิ์แล้ว โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ ณ ภูมิลำเนาของโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.1ทั้งข้อเท็จจริงได้ความตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.10 ถึง จ.12มิได้กำหนดว่าจะชำระค่าเช่ากันที่ใด จำเลยจึงต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ณ ภูมิลำเนาของโจทก์ แต่จำเลยกลับนำค่าเช่าที่พิพาทและตึกแถวไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์ ซึ่งโจทก์มิได้ประสงค์จะให้จำเลยผู้เช่านำค่าเช่าไปวางไว้เช่นนั้น การที่จำเลยนำค่าเช่าไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์จึงมิใช่เป็นการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้หรือแก่บุคคลผู้มีอำนาจรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้ทั้งมิใช่การชำระหนี้ ณ ภูมิลำเนาของเจ้าหนี้ตามบทกฎหมายดังกล่าวจำเลยจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดต้องนำค่าเช่ามาชำระแก่โจทก์
พิพากษายืน

Share