แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ลูกจ้างได้ขับรถยนต์รับจ้างไปในทางการที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ว่าจ้าง เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน คำว่า “ผลประโยชน์ร่วมกัน” หมายถึง ผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ไม่ได้หมายถึงผลประโยชน์ร่วมกันในลักษณะแห่งการเป็นตัวการและตัวแทนซึ่งมีกฎหมายบังคับคนละลักษณะกัน เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้รับผิดในฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 สิทธิของโจทก์ย่อมเกิดขึ้นนับตั้งแต่วันที่โจทก์ได้ชำระค่าสินไหมทดแทนเป็นต้นไป โจทก์จะคิดดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันทำละเมิดเสมือนเป็นผู้เสียหายที่ถูกทำละเมิดโดยตรงมิได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันภัยรถยนต์ และได้รับประกันภัยรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน ม – ๔๒๙๓ นนทบุรี จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขับรถยนต์แท็กซี่หมายเลขทะเบียน ๒ ท – ๐๙๔๗ กรุงเทพมหานครและเป็นลูกจ้างปฏิบัติงานในทางการที่จ้างให้แก่จำเลยที่ ๒และที่ ๓ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์แท็กซี่หมายเลขทะเบียน ๒ ท – ๐๙๔๗ กรุงเทพมหานครร่วมกัน และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ ซึ่งในขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ได้กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันเมื่อวันที่ ๒๔พฤษภาคม ๒๕๒๗ เวลา ๕ นาฬิกาเศษ จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์แท็กซี่คันดังกล่าวด้วยความประมาทไปตามถนนรามคำแหง จากบางกะปิมุ่งหน้าไปทางคลองตัน ด้วยความเร็วสูง เมื่อมาถึงหน้าสนามกีฬาหัวหมาก จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถเลี้ยวขวาที่สามแยกเพื่อเลี้ยวเข้าซอยมหาดไทย ๑ โดยไม่ได้ให้สัญญาณใด ๆ ตัดหน้ารถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ม – ๔๒๙๓ นนทบุรี ซึ่งแล่นสวนมาในระยะกระชั้นชิดทำให้รถทั้งสองคันเกิดชนกัน โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน ม – ๔๒๙๓ นนทบุรี ได้จัดการซ่อมแซมรถยนต์คันดังกล่าวและส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้วเสียค่าซ่อมแซมไปทั้งสิ้น ๓๒,๑๙๐ บาท โจทก์จึงเข้ารับช่วงสิทธิเรียกค่าเสียหายดังกล่าวจากจำเลยทั้งสาม ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสามชำระค่าเสียหายจำนวน ๓๒,๑๙๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๒๗ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ไม่ได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดในการกระทำของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ทำละเมิดต่อเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ม – ๔๒๙๓ นนทบุรี แต่เป็นความผิดของผู้ขับรถคันดังกล่าวซึ่งขับรถสวนมาในระยะกระชั้นชิด โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้อง ถ้าจะเสียหายก็ไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาทขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ประมาทเป็นเหตุให้รถชนกันแม้ข้อเท็จจริงจะฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒แต่ถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ ปฏิบัติหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๒ที่ ๓ เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๒ หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกันจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จึงต้องร่วมรับผิดในฐานะที่จำเลยที่ ๑ เป็นเสมือนตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ ๒๖,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๒๗จนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๒๘ เป็นต้นไป ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์ได้รับประกันภัยรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน ม-๔๒๙๓ นนทบุรี ต่อมาวันที่ ๒๔พฤษภาคม ๒๕๒๗ ซึ่งอยู่ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย รถคันดังกล่าวได้ชนกับรถยนต์แท็กซี่หมายเลขทะเบียน ๒ ท – ๐๙๔๗ กรุงเทพมหานครซึ่งมีจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขับ จำเลยที่ ๑ ยอมรับผิดว่าเป็นความประมาทของตนเอง จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของรถแท็กซี่และได้นำรถเข้าร่วมกับจำเลยที่ ๓ รถที่โจทก์รับประกันภัยเสียหายโจทก์ได้ซ่อมและส่งรถให้ผู้เอาประกันภัยแล้วคดีมีปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ได้กระทำไปในทางการที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จ้าง เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันอันเป็นการบรรยายถึงลักษณะแห่งการเป็นตัวการและตัวแทนด้วยนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์แท็กซี่หมายเลขทะเบียน ๒ ท – ๐๙๔๗ กรุงเทพมหานครด้วยความประมาท จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์แท็กซี่คันดังกล่าวและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ ซึ่งขณะเกิดเหตุคดีนี้จำเลยที่ ๑ ได้กระทำไปในทางการที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓จ้างดังนั้นที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันนั้น คำว่าผลประโยชน์ร่วมกันจึงหมายถึงผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ไม่ได้หมายถึงผลประโยชน์ร่วมกันในลักษณะแห่งการเป็นตัวการและตัวแทนดังโจทก์กล่าวอ้าง จึงจะให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ ในฐานะที่จำเลยที่ ๑เป็นเสมือนตัวแทนของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ด้วยไม่ได้ เพราะการเป็นลูกจ้างนายจ้างกับการเป็นตัวแทนตัวการนั้นมีลักษณะไม่เหมือนกันและมีกฎหมายบังคับคนละลักษณะกัน เมื่อโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างและได้กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ แล้ว จะให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมรับผิดในการทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ ในฐานะที่จำเลยที่ ๑ เป็นเสมือนตัวแทนของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องไว้ไม่ได้เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒วรรคแรก ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันละเมิด เพราะเป็นกรณีมูลละเมิดนั้นเห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้รับผิดต่อโจทก์ในฐานะโจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๘๐ สิทธิของโจทก์ย่อมเกิดขึ้นนับตั้งแต่วันที่โจทก์ได้ชำระค่าสินไหมทดแทน โจทก์จึงคิดดอกเบี้ยได้นับตั้งแต่วันที่โจทก์ชำระค่าสินไหมทดแทนเป็นต้นไป จะขอให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันละเมิดไม่ได้ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน