แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้นหมายถึงหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ หรือได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่นั้น ๆ เท่านั้น ถ้าไม่เกี่ยวกับหน้าที่โดยตรงแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ การที่จำเลยเบิกความเป็นพยานที่ศาลไม่ใช่หน้าที่ราชการหรือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายโดยตรงของจำเลย จำเลยจึงไม่มีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 บัญญัติขึ้นเป็นการป้องกันมิให้จำเลยที่ถูกฟ้องร้องได้รับโทษหรือได้รับความเสียหายอันเกิดจากการรับฟังพยานอันเป็นเท็จ เมื่อโจทก์ในคดีนี้มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีที่จำเลยในคดีนี้ไปเบิกความเป็นพยาน โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายโดยตรงในการเบิกความของจำเลยโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดตามมาตรานี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28(2) ข้อความที่จำเลยเบิกความเกี่ยวกับตัวโจทก์ เป็นข้อที่จำเลยสืบทราบมาจากชาวบ้าน จำเลยไม่ได้ประสบมาด้วยตนเอง และข้อที่ชาวบ้านบอกให้จำเลยรับทราบนี้จะเป็นความจริงหรือไม่โจทก์ก็ไม่ทราบ ดังนี้ การที่จำเลยเบิกความจึงมีเพียงเจตนาจะให้ความจริงต่อศาลในการพิจารณาคดีตามที่จำเลยสืบทราบมาเท่านั้น หาได้มีเจตนาใส่ความโจทก์ให้ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังไม่ จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177,326, 157, 83 และ 91 และให้จำเลยชำระเงินจำนวน 50,000 บาทแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ทางไต่สวนโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่17 กรกฎาคม 2530 เวลากลางวัน จำเลยเบิกความในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 125/2531 ของศาลจังหวัดสวรรคโลก ระหว่างพนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดสวรรคโลก โจทก์ นายเป็ง เสาแก้วคำจำเลย ว่าโจทก์เป็นคนว่าจ้างนายเป็งให้ยิงนายเลื่อน วงค์ใจคำเพราะโจทก์โกรธนายเลื่อนเกี่ยวกับเรื่องเงินของวัด ทั้งนี้จำเลยได้แจ้งเหตุนี้ให้พันตำรวจตรีเยี่ยม แสงหิรัญสารวัตรสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอทุ่งเสลี่ยม ทราบแล้วซึ่งข้อความที่จำเลยเบิกความนั้นไม่เป็นความจริงแต่ประการใดทำให้โจทก์เสียหาย คดีคงมีปัญหาว่าการเบิกความของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 177 และ 326 หรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 บัญญัติว่า”ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ…” ศาลฎีกาเห็นว่าการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติมาตรานี้หมายถึงหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ หรือได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่นั้น ๆ เท่านั้น ถ้าไม่เกี่ยวกับหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ ข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนของโจทก์ได้ความว่า จำเลยได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ที่ศาลจังหวัดสวรรคโลก ซึ่งการเบิกความของเจ้าพนักงานตำรวจไม่ใช่หน้าที่ราชการหรือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายโดยตรงของจำเลย จำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรานี้
ข้อหาต่อมา คือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ถ้าความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ต้องระวางโทษ…” ที่กฎหมายบัญญัติไว้เช่นนี้ เพื่อป้องกันมิให้จำเลยที่ถูกฟ้องร้องได้รับโทษหรือได้รับความเสียหาย อันเกิดจากการรับฟังพยานอันเป็นเท็จ ผู้ที่จะเสียหายคือจำเลยในคดีนั้น แต่ข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวปรากฏว่า โจทก์มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลย โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายโดยตรงในการเบิกความของจำเลย ดังนั้นโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดตามกฎหมายมาตรานี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28(2)
ข้อหาสุดท้าย คือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษ…” การใส่ความตามมาตรานี้ ผู้กระทำต้องมีเจตนาใส่ความผู้อื่น ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบชั้นไต่สวนโจทก์เบิกความว่า ข้อที่จำเลยเบิกความเกี่ยวกับตัวโจทก์ ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 125/2531 ของศาลจังหวัดสวรรคโลกนั้น เป็นข้อที่จำเลยสืบทราบมาจากชาวบ้านไม่ใช่ข้อที่จำเลยประสบมาด้วยตนเอง ส่วนข้อที่ชาวบ้านบอกให้จำเลยรับทราบนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่โจทก์ไม่ทราบ เห็นได้ว่าการเบิกความของจำเลย จำเลยมีเจตนาจะให้ความจริงต่อศาลในการพิจารณาคดีตามที่จำเลยสืบทราบมาเท่านั้น จำเลยหาได้มีเจตนาใส่ความโจทก์ให้ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังแต่อย่างใดไม่ จึงไม่เป็นความผิดตามมาตราดังกล่าว ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้อง โจทก์มานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน