แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมอบหมายให้สามีจำเลยทำข้อตกลงกับโจทก์เกี่ยวกับทางพิพาทการที่จำเลยยอมให้สามีจำเลยแสดงออกว่าเป็นตัวแทนของจำเลยทำข้อตกลงกับโจทก์เป็นเรื่องตัวแทนเชิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา821ไม่อยู่ในบังคับมาตรา798ที่จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือฉะนั้นแม้จำเลยจะมิได้มีหนังสือตั้งให้สามีจำเลยไปทำข้อตกลงกับโจทก์จำเลยซึ่งเป็นตัวการก็ต้องผูกพันตามบันทึกข้อตกลงที่สามีจำเลยทำกับโจทก์ให้โจทก์ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่14762 จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 14761 เดิมที่ดินโจทก์และจำเลยเป็นที่แปลงเดียวกัน โจทก์ทำถนนลูกรังกว้าง4.50 เมตร เป็นทางรถยนต์เข้าออกจากบ้านโจทก์สู่ถนนสาธารณประโยชน์ต่อมาแบ่งแยกโฉนดเป็นของโจทก์และจำเลย โจทก์ได้ที่ดินด้านทิศตะวันตก จำเลยได้ที่ดินด้านทิศตะวันออก ทางดังกล่าวผ่านที่ดินจำเลยด้านทิศใต้จำเลยเชิดสามีจำเลยให้ทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์ให้โจทก์ใช้ทางดังกล่าวอันเป็นข้อตกลงจะให้ทางภารจำยอมต่อมาจำเลยได้ปักเสาคอนกรีตและขึงลวดหนามปิดกั้นทางดังกล่าวทำให้โจทก์ใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะไม่ได้ และใช้เดินไม่สะดวก ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนเสาคอนกรีตและรั้วลวดหนามและจดทะเบียนทางภารจำยอมในที่ดินจำเลยด้านทิศใต้ของที่ดินกว้าง 2 เมตร ยาว 112.60 เมตร เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ไม่เคยทำนิติกรรมก่อให้เกิดภารจำยอม จำเลยยอมให้โจทก์เดินผ่านที่ดินจำเลยได้ชั่วคราว คำฟ้องโจทก์มิได้แสดงให้เห็นว่ามีนิติกรรมที่จะก่อให้เกิดภารจำยอมในที่ดินจำเลยฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อเปิดทางตรงเสาคอนกรีตและรั้วลวดหนามกว้าง 1 เมตร คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 14762 จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 14761 ซึ่งเดิมเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน โจทก์ทำถนนลูกรัง เป็นทางเข้าออกเมื่อแบ่งแยกโฉนดแล้วทางดังกล่าวผ่านที่ดินของจำเลยด้านทิศใต้ จำเลยได้ให้สามีจำเลยทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์ ให้โจทก์ใช้ทางได้ ต่อมาจำเลยปิดทางดังกล่าวขอให้จำเลยรื้อถอนเสาเปิดทางให้โจทก์ เห็นได้ว่า ฟ้องโจทก์แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า บันทึกเอกสารหมาย ล.3 ไม่ผูกพันจำเลยเพราะโจทก์ไม่ได้สืบว่าจำเลยเชิดสามีจำเลยอย่างไร การตั้งตัวแทนไม่ได้ทำเป็นหนังสือ และจำเลยไม่มีเจตนาจะให้โจทก์ใช้ทางเดิน ข้อนี้จำเลยเบิกความเป็นพยานรับว่า ปลัดอำเภอได้เจรจาไกล่เกลี่ยโดยโจทก์ว่า ขอเวลาขนกล้วยไม้ออกภายในวันที่ 18 มิถุนายน 2533และทางที่จำเลยปิดนั้นโจทก์ขอเดินไปพลางก่อนจำเลยตกลงด้วยจึงได้ทำบันทึกเอกสารหมาย ล.3 บันทึกดังกล่าวนายสุนทรสามีจำเลยเป็นคนทำ เพราะตอนปลัดอำเภอมาไกล่เกลี่ยจำเลยไม่ได้อยู่ด้วยข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยมอบหมายให้สามีจำเลยทำข้อตกลงกับโจทก์ การที่จำเลยยอมให้สามีจำเลยแสดงออกว่า เป็นตัวแทนของจำเลยทำข้อตกลงกับโจทก์เป็นเรื่องตัวแทนเชิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 ไม่อยู่ในบังคับมาตรา 798ที่จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ฉะนั้นแม้จำเลยจะมิได้มีหนังสือตั้งให้สามีจำเลยไปทำข้อตกลงกับโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นตัวการก็ต้องผูกพันตามบันทึกเอกสารหมาย ล.3 ซึ่งสามีจำเลยเป็นผู้ทำขึ้นตามบันทึกเอกสารนี้ ข้อ 4 มีข้อความว่า “ที่ดินที่นายอนันต์ซื่อดี (โจทก์) ทำถนนเข้าบ้าน นายสุนทร สิริไพโรจน์(สามีจำเลย) ยินยอมให้ใช้จนถึงวันที่ 18 มิถุนายน 2533 เมื่อถึงวันที่ 18 มิถุนายน 2533 นายสุนทร สิริไพโรจน์ ยินยอมให้ใช้เป็นทางเดินเท่านั้น โดยไม่ให้รถวิ่ง” เห็นว่าตามบันทึกดังกล่าวมีข้อความชัดเจนว่าฝ่ายจำเลยยอมให้โจทก์ใช้เป็นทางเดินได้จำเลยก็ต้องผูกพันตามที่ตกลง คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยเพราะไม่เป็นสาระแก่คดีและไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน