แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บิดาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำสัญญาให้โจทก์ไว้มีความว่า บิดาจำเลยได้ขายฝากที่ดินพิพาทอันมี ส.ค.1 ให้โจทก์ทำผลประโยชน์ในที่ดินแทนดอกเบี้ยเป็นเวลา 4 ปี เมื่อครบกำหนดแล้วถ้าไม่นำเงินมาชำระ จะยอมโอนที่พิพาทให้โจทก์เป็นจำนวนเงินหกหมื่นบาท และยอมส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่โจทก์ในวันถัดจากวันครบกำหนด บิดาจำเลยได้รับราคาดังกล่าวไปแล้ว ดังนี้ไม่ใช่สัญญาขายฝากที่พิพาท แต่เป็นเรื่องกู้เงินโดยมอบที่พิพาทให้ทำนาต่างดอกเบี้ย ครั้นบิดาจำเลยตาย จำเลยที่ 1 ที่ 2รับสภาพหนี้โดยให้โจทก์ทำนาต่อมา เมื่อหนี้ถึงกำหนดจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตกลงกับโจทก์ขอชำระหนี้ด้วยที่พิพาทโดยขอเงินเพิ่มจากโจทก์อีก โจทก์ตกลงและจ่ายเงินให้บางส่วนแล้ว ส่วนที่เหลือจะจ่ายให้ในวันโอน เมื่อที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า การที่โจทก์ได้รับมอบให้ครอบครองที่พิพาทต่อมานับแต่ตกลงกันนั้น หนี้ของโจทก์จึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 ที่พิพาทย่อมตกเป็นของโจทก์ การที่จำเลยจะไปโอนให้แก่โจทก์นั้นเป็นเพียงพิธีการ โจทก์มีสิทธิบังคับให้จำเลยโอนให้ และรับเงินที่ยังค้างอยู่ได้ และเมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตกลงกับโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 กลับโอนที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 เจ้าหนี้อีกรายหนึ่งไป โดยจำเลยที่ 3 รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์ก็ชอบที่จะขอให้เพิกถอนการโอนระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 3 เสียได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นบุตรนายสน ศรีบุบผา นายสนได้เอาที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 54, 55 ขายฝากแก่โจทก์เป็นเงิน 60,000 บาท การขายฝากทำสัญญากันเอง โจทก์ได้ชำระเงินและเข้าครอบครองทำนาต่างดอกเบี้ยตั้งแต่ปีที่ขายฝาก เมื่อ พ.ศ. 2505 นายสนตายที่ดินตกเป็นมรดกแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ยินยอมให้โจทก์ครอบครองที่ดินทำกินต่างดอกเบี้ยตามสัญญาตลอดมาจนครบ 4 ปี ผู้รับมรดกว่าไม่มีเงินไถ่ถอนจะยอมโอนที่ดินให้ตามสัญญา ขอเงินเพิ่มเป็นค่าใช้จ่ายในการโอนอีก 6,000 บาท โจทก์จ่ายให้จำเลยที่ 2 ไป 1,164 บาท จำเลยที่ 2 เป็นพระภิกษุจัดการรับมรดกและโอนไม่ได้ จึงให้จำเลยที่ 1 ประกาศรับมรดกและออก น.ส.3 เพื่อโอนขายให้โจทก์ นายเท้งสามีจำเลยที่ 3 ค้านว่านายสนเป็นหนี้นายเท้งอยู่จำเลยที่ 1 จะโอนให้จำเลยที่ 3 แล้วจะนำเงินชำระให้โจทก์ โจทก์ไม่ยอมและคัดค้านไว้ ต่อมาจำเลยที่ 1 โอนขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 3 โดยรู้อยู่แล้วว่าที่พิพาทนายสนได้ขายฝากและมอบให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ยและสัญญาถึงกำหนดโอนขายให้แล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1, 3 ไม่สุจริต ฉ้อฉลโจทก์ทำให้โจทก์เสียเปรียบ เพราะนายสนไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ นิติกรรมซื้อขายเป็นโมฆะ ขอให้พิพากษาว่านิติกรรมโอนที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 3 เป็นโมฆะ บังคับให้จำเลยที่ 1 รับเงินที่ค้างอยู่ 4,836 บาทจากโจทก์แล้วโอนขายที่พิพาทให้โจทก์ ถ้าไม่ยอมโอนก็บังคับให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน 61,164 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ให้การว่า นายสนไม่เคยเอาที่ดินตามฟ้องไปขายฝากไว้กับโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่เคยรับรองหนี้หรือสัญญาใด ๆ ไม่เคยรับจะโอนที่ดินให้โจทก์ โจทก์เข้าทำกินในที่พิพาทบางส่วนโดยอาศัย การรับมรดกและออก น.ส.3 จำเลยที่ 1 ทำไปแต่ผู้เดียว จำเลยที่ 3 รับซื้อที่ดินไว้ในราคา 50,000 บาทโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิถูกต้องตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจขอเพิกถอน
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ทำลายนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 รับเงินจากโจทก์ 4,816 บาทและโอนที่พิพาทให้โจทก์ หากไม่ยอมโอน ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาโอน ถ้าโอนไม่ได้ให้จำเลยที่ 1 ผู้รับมรดกนายสนใช้เงินให้โจทก์ 61,164 บาทกับดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่านายสนจะได้ทำสัญญาขายฝากที่พิพาทให้โจทก์จึงไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกาขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาฟังว่า นายสนได้ทำสัญญาเอกสาร จ.5 ให้โจทก์ไว้ สัญญานี้มีความว่า “ผู้ขายได้ขายฝากที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 54, 55 เป็นเนื้อที่ 66 ไร่ โดยผู้ขายขายฝากให้ผู้ซื้อทำผลประโยชน์ในที่ดินแทนดอกเบี้ยเป็นเวลา 4 ปี เมื่อครบกำหนดตามสัญญานี้ ผู้ขายไม่นำเงินมาชำระตามกำหนดสัญญา ผู้ขายจะยอมโอนที่ดินทั้งหมดให้แก่ผู้ซื้อเป็นจำนวนเงินหกหมื่นบาท และยอมส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อ วันที่ 14 เมษายน 2508 และผู้ขายได้รับราคาดังกล่าวแล้วไปจากผู้ซื้อเสร็จแล้ว” โจทก์ได้เข้าทำนาในที่พิพาท ต่อมาในปี พ.ศ. 2505 นายสนตาย จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้โจทก์ทำนาพิพาทต่อไปว่าครบกำหนดจะไถ่ถอน ในปี พ.ศ. 2508 เมื่อจะครบกำหนดตามสัญญาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตกลงจะโอนที่พิพาทให้โจทก์และขอเงินเพิ่มจากโจทก์อีก6,000 บาท โจทก์ตกลงจำเลยที่ 2 ขอรับเงินไปแล้ว 1,164 บาท ครั้นเมื่อจำเลยที่ 2 จะขอรับมรดกที่พิพาทก็รับมรดกไม่ได้เพราะเป็นพระภิกษุ จำเลยที่ 1 จึงขอรับมรดก ครั้นถึงวันนัดโอนที่พิพาทนายเท้งคัดค้านไม่ยอมให้จำเลยที่ 1 รับโอน อ้างว่านายสนเป็นหนี้นายเท้งอยู่ ต่อมาเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2509 จำเลยที่ 1 รับมรดกที่พิพาทแล้วโอนขายให้จำเลยที่ 3 ภรรยาของนายเท้ง
ศาลฎีกาเห็นว่า นายสนทำสัญญาไว้กับโจทก์แล้วยังไม่ได้ชำระเงินให้ก็ถึงแก่กรรมไป จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทายาทได้รับสภาพหนี้โดยให้โจทก์ทำนาต่างดอกเบี้ยต่อมาจำเลยที่ 1 จึงมีความผูกพันที่จะต้องใช้หนี้ให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ได้โอนขายที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 ไปโดยนายสนไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีกที่จะใช้หนี้โจทก์ และจำเลยที่ 3 ก็รู้ถึงความจริงอยู่ว่าถ้าจำเลยที่ 3 รับโอนที่พิพาทไปแล้วจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์จึงขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่พิพาทนั้นเสียได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
สัญญาหมาย จ.5 นั้น มิใช่เป็นเรื่องขายฝาก เพราะกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทมิได้ตกไปยังโจทก์โดยมีข้อตกลงว่าอาจไถ่คืนได้ จึงเป็นเรื่องนายสนกู้เงินโจทก์และมอบที่ดินให้โจทก์ทำนาต่างดอกเบี้ย เมื่อนายสนถึงแก่กรรมแล้ว จำเลยที่ 1, ที่ 2 ซึ่งเป็นทายาทได้ตกลงกับโจทก์ขอชำระหนี้นายสนด้วยที่พินพิพาท และขอเงินเพิ่มเติมอีก 6,000 บาท โจทก์จ่ายให้ 1,164 บาทแล้ว ที่เหลือจะจ่ายให้ในวันโอนที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เมื่อโจทก์ได้รับมอบให้ครอบครอง ต่อมาภายหลังการตกลงดังกล่าวนี้ จึงเป็นการสละสิทธิครอบครองที่พิพาทให้โจทก์ การที่จำเลยชำระหนี้ด้วยที่พิพาทแทนการชำระหนี้ที่นายสนตกลงไว้ และโจทก์ยอมรับชำระหนี้ดังกล่าว กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 หนี้ของโจทก์ก็เป็นอันระงับสิ้นไป ที่พิพาทย่อมตกเป็นของโจทก์ การที่จำเลยจะไปจัดการโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์ต่อไปนั้น จึงเป็นเพียงพิธีการ โจทก์มีสิทธิบังคับให้จำเลยโอนตามที่ตกลงได้
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 โอนที่พิพาทให้โจทก์พร้อมกับรับเงินที่ค้างอยู่ 4,836 บาท หากจำเลยที่ 1 ไม่โอน ให้เอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1