คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6158-6220/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งหมดเนื่องจากสัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันระหว่างจำเลยกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมสิ้นสุดลง เป็นเหตุให้ใบอนุญาตการผลิตและจำหน่ายสุราของจำเลยสิ้นสุดไปด้วย จำเลยไม่สามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ จึงต้องเลิกกิจการและส่งมอบโรงงานคืนแก่กรมโรงงานอุตสาหกรรม การเลิกจ้างครั้งนี้เป็นการเลิกจ้างพนักงานของจำเลยทุกคน ไม่เป็นการเลือกปฏิบัติหรือมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งหมด จึงเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

ย่อยาว

คดีทั้งหกสิบสามสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์ว่า โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๖๓ ตามลำดับ
โจทก์ทั้งหกสิบสามสำนวนฟ้องใจความว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งหมดเพราะเหตุสัญญาเช่าโรงงานสิ้นสุด ซึ่งมิใช่ความผิดของโจทก์ทั้งหมด การเลิกจ้างจึงไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ทั้งหมด ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์ทั้งหมด กลับเข้าทำงานตามตำแหน่งเดิมและอัตราค่าจ้างเดิม หากไม่สามารถรับกลับเข้าทำงานได้ ให้จ่ายค่าเสียหายตามระยะเวลาการทำงานของโจทก์ทั้งหมดปีละหนึ่งเดือนกับค่าเสียหายเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้ายทุกเดือนตามจำนวนระยะเวลาทำงานที่เหลือจนกว่าจะเกษียณอายุ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จตามคำขอ ท้ายฟ้องของโจทก์แต่ละคน
จำเลยทั้งหกสิบสามสำนวนให้การว่า จำเลยได้รับสิทธิเป็นผู้เช่าโรงงานสุราบางยี่ขันจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม จึงจ้างโจทก์ทั้งหมดเป็นลูกจ้างตามกำหนดอายุสัญญาเช่า ต่อมากระทรวงอุตสาหกรรมโดยมติคณะรัฐมนตรีประกาศขายกิจการโรงงานสุราบางยี่ขันโดยการเปิดประมูล มีนิติบุคคลรายอื่นประมูลซื้อได้และเริ่มประกอบกิจการตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๓ จำเลยจึงต้องเลิกกิจการและคืนโรงงานที่เช่าแก่กรมโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อส่งมอบแก่ผู้ประมูลซื้อได้ และบอกเลิกสัญญาจ้างแก่พนักงานทุกคนรวมทั้งโจทก์ทั้งหมด โดยได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และเลิกจ้างพนักงานทุกคนทั้งโรงงาน มิได้กลั่นแกล้งเลิกจ้าง จึงเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม ทั้งนี้จำเลยได้จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งหมดรับไปครบถ้วนแล้วตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งจ่ายสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น โบนัส โบนัสพิเศษ และเงินบำเหน็จตามระเบียบข้อบังคับของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งหกสิบสามสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางว่า เดิมโจทก์ทั้งหมดเป็นลูกจ้างของบริษัทสุรามหาคุณ จำกัด ซึ่งเป็นผู้เช่าดำเนินกิจการโรงงานสุราบางยี่ขันจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม หลังจากสิ้นสุด สัญญาเช่ากับบริษัทดังกล่าว จำเลยเป็นผู้ประมูลเช่ารายใหม่ จึงได้ทำสัญญาเช่ากับกรมโรงงานอุตสาหกรรมและเข้าดำเนิน กิจการโรงงานสุราบางยี่ขันในการผลิตและจำหน่ายสุรา รวมทั้งรับโอนพนักงานของบริษัทสุรามหาคุณ จำกัด ผู้เช่าเดิม รวมโจทก์ทั้งหมดด้วยมาเป็นลูกจ้างของจำเลยและให้ทำงานต่อเนื่องมานับตั้งแต่วันเริ่มสัญญาเช่าในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๓ จนถึงวันสิ้นสุดสัญญาเช่าในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๒ หลังจากสิ้นสุดสัญญาเช่าผู้ประมูลซื้อกิจการไม่รับโอนโจทก์ทั้งหมด ไปเป็นลูกจ้าง จึงจ่ายเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย ๙๐ วัน แก่โจทก์ทั้งหมดและโจทก์ทั้งหมดได้รับค่าชดเชยครบถ้วนตามกฎหมายรวมทั้งโบนัส โบนัสพิเศษ และเงินบำเหน็จตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยจากจำเลยแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งหมดว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งหมดเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ เห็นว่า สาเหตุที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งหมดเนื่องจากสัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันระหว่างจำเลยกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมสิ้นสุดลง เป็นเหตุให้ใบอนุญาตการผลิตและจำหน่ายสุราของจำเลยสิ้นสุดไปด้วย จำเลยไม่สามารถประกอบธุรกิจ ดังกล่าวต่อไปได้ จึงต้องเลิกกิจการและส่งมอบโรงงานคืนแก่กรมโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อส่งมอบแก่ผู้ประมูลซื้อ กิจการ เดิมโจทก์ทั้งหมดเป็นลูกจ้างของบริษัทสุรามหาคุณ จำกัด ซึ่งจำเลยรับโอนมาเป็นลูกจ้างเมื่อประมูลการเช่า กิจการโรงงานสุราบางยี่ขันได้ โจทก์ทั้งหมดจึงทราบอยู่แล้วว่า เมื่อสัญญาเช่าของจำเลยสิ้นสุดลง จะต้องมีการโอนพนักงานต่อไปยังผู้ดำเนินกิจการรายใหม่ดังที่เคยปฏิบัติมา ทั้งก่อนสิ้นสุดอายุสัญญาเช่าจำเลยได้ออกประกาศเรื่อง การเลิกจ้างพนักงานและแจ้งสิทธิประโยชน์ของพนักงานเมื่อสิ้นสุดการเช่าแล้ว โดยประกาศ ณ วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ ระบุว่า เลิกจ้างตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๓ ซึ่งมีระยะเวลากว่า ๑ เดือน อันเป็นการบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญาเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๒ แล้ว ปัญหาว่าการตกลงว่าจ้างโจทก์ทั้งหมดจะมีกำหนดระยะเวลาแน่นอนหรือไม่ จึงมิใช่ข้อสาระสำคัญ ที่โจทก์ทั้งหมดอุทธรณ์โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางว่าการตกลงว่าจ้างโจทก์ทั้งหมดไม่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย ส่วนข้อที่โจทก์ทั้งหมดอุทธรณ์ว่า เมื่อผู้ประมูลซื้อกิจการ ไม่รับโอนโจทก์ทั้งหมดไปเป็นลูกจ้าง โจทก์ทั้งหมดจึงยังคงเป็นลูกจ้างของจำเลยต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๗ วรรคแรก นั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ทั้งหมดแล้ว โจทก์ทั้งหมดจึงมิได้เป็น ลูกจ้างของจำเลยอีกต่อไป นอกจากนี้ยังปรากฏด้วยว่า การเลิกจ้างครั้งนี้เป็นการเลิกจ้างพนักงานของจำเลยทุกคน เนื่องจากความจำเป็นที่จำเลยต้องเลิกกิจการ ไม่เป็นการเลือกปฏิบัติหรือมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งหมด ทั้งจำเลย ยังได้จ่ายค่าชดเชยและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่โจทก์ทั้งหมดพึงได้รับตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยไปจนครบถ้วน และโจทก์ทั้งหมดยังได้รับเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย ๙๐ วัน จากผู้ประมูลซื้อกิจการซึ่งมิได้รับโอนโจทก์ทั้งหมด ไปเป็นลูกจ้างแล้วด้วย กรณีจึงเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งหมดฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share