คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6153/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีล้มละลายเรื่องนี้เสร็จการพิจารณาแล้ว อยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งในวันที่ 27 ตุลาคม 2547 ในวันนัด ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นครั้งแรกโดยแนบหนังสือแจ้งผลการอนุมัติของโจทก์ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2547 ที่อนุมัติให้นายชนัฏ เรืองกฤติยากรรมการบริษัทจำเลยชำระหนี้จำนวน 5,000,000 บาท ภายในวันที่ 20 ธันวาคม 2547 โดยผ่อนชำระรวม 3 งวด เมื่อชำระหนี้ดังกล่าวแล้วให้ตัดภาระหนี้ที่เหลือพร้อมกับถอนฟ้องคดีนี้ รวมทั้งได้แนบหลักฐานการชำระหนี้แล้วจำนวน 500,000 บาท มาด้วย การที่จำเลยจะสามารถปรับปรุงโครงสร้างหนี้และชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นมิได้ขึ้นอยู่กับจำเลยเพียงฝ่ายเดียวแต่ขึ้นอยู่กับโจทก์ด้วย เมื่อโจทก์เพิ่งประชุมและมีมติก่อนวันนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลล้มละลายกลางเพียง 12 วัน และฝ่ายจำเลยได้ชำระหนี้ตามที่โจทก์อนุมัติบางส่วนแล้ว ทั้งกำหนดเวลาชำระหนี้ตามที่โจทก์อนุมัติก็ไม่นานเกินสมควรและโจทก์มิได้คัดค้านการขอเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่ง ถือได้ว่ากรณีมีเหตุสมควรที่จะเลื่อนการพิพากษาหรือการทำคำสั่งออกไปได้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 133 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 14

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลาย
จำเลยไม่ให้การต่อสู้คดี
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14 ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติได้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาที่โจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องมาจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ภายหลังบังคับคดีแก่ทรัพย์จำนองจำเลยแล้ว เพียงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2547 จำเลยยังค้างชำระหนี้โจทก์ 89,990,302.25 บาท และจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้อีก
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า คำสั่งศาลล้มละลายที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งชอบหรือไม่ ได้ความว่า ในวันนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่ง ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งออกไปสักระยะหนึ่งเนื่องจากโจทก์อนุมัติให้จำเลยปรับปรุงโครงสร้างหนี้โดยให้ชำระหนี้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 20 ธันวาคม 2547 ศาลล้มละลายกลางเห็นว่าได้ให้โอกาสจำเลยปรับปรุงโครงสร้างหนี้และชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นเป็นเวลา 3 เดือนเศษแล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้ให้เสร็จสิ้น กรณีไม่มีเหตุผลจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ จึงไม่อนุญาตและให้ยกคำร้อง แล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “…ให้ศาลล้มละลายดำเนินการนั่งพิจารณาคดีติดต่อกันไปโดยไม่เลื่อนคดีจนกว่าจะเสร็จการพิจารณา เว้นแต่มีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ และเมื่อเสร็จการพิจารณาคดีให้ศาลล้มละลายกลางรีบทำคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยเร็ว” ตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้ข้างต้นคดีนี้เสร็จการพิจารณาแล้ว อยู่ในระหว่างนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่ง การที่ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวเป็นการขอเลื่อนครั้งแรก ซึ่งทนายจำเลยได้แนบหนังสือแจ้งผลการอนุมัติของคณะทำงานของโจทก์ ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2547 ที่ได้ประชุมและมีมติในวันเดียวกันอนุมัติให้นายชนัฏ กรรมการบริษัทจำเลยชำระหนี้เสร็จสิ้นจำนวน 5,000,000 บาท ภายในวันที่ 20 ธันวาคม 2547 โดยผ่อนชำระรวม 3 งวด เมื่อชำระหนี้ดังกล่าวแล้วให้ตัดภาระหนี้ที่เหลือพร้อมกับถอนฟ้องคดีนี้ รวมทั้งได้แนบหลักฐานการชำระหนี้ด้วยแคชเชียร์เช็คจำนวนเงิน 500,000 บาท ของนายชนัฏให้แก่โจทก์ในวันดังกล่าวมาด้วย เห็นได้ว่าคำอนุมัติของโจทก์ที่ยอมรับการประนอมหนี้ของจำเลย โจทก์เพิ่งประชุมและมีมติเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2547 ก่อนวันนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลล้มละลายกลางเพียง 12 วัน การที่จำเลยจะสามารถปรับปรุงโครงสร้างหนี้และชำระหนี้ให้เสร็จสิ้น มิได้ขึ้นอยู่กับจำเลยเพียงฝ่ายเดียว แต่ขึ้นอยู่กับโจทก์ด้วย และฝ่ายจำเลยได้ชำระหนี้ตามที่โจทก์อนุมัติบางส่วนแล้ว ทั้งกำหนดเวลาชำระหนี้ภายในวันที่ 20 ธันวาคม 2547 ก็ไม่นานเกินสมควร และโจทก์ก็มิได้คัดค้านการขอเลื่อนฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าว ทั้งมิได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์เข้ามาด้วย ดังนี้ ถือได้ว่ากรณีมีเหตุสมควรที่จะเลื่อนการพิพากษาหรือการทำคำสั่งออกไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 133 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 14 ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยมีคำสั่งยกคำร้องแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดนั้นจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น และเนื่องจากกำหนดเวลาที่ฝ่ายจำเลยจะต้องชำระหนี้แก่โจทก์ให้เสร็จสิ้นตามมติของโจทก์ได้ล่วงเลยไปแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดเวลาเพื่อให้จำเลยได้มีโอกาสไปดำเนินการประนอมหนี้กับโจทก์ไว้ด้วย
พิพากษายกคำสั่งศาลล้มละลายกลางที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและคำสั่งยกคำร้องขอเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งของทนายจำเลย ให้ศาลล้มละลายกลางเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งออกไปไม่น้อยกว่า 3 เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษานี้โดยให้ทำคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

Share