คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 615/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อกระสุนปืนของกลางที่จำเลยมีไว้เป็นกระสุนปืนที่ใช้กับอาวุธปืนซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตให้มีและใช้ได้แล้วจำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ
ฟ้องกล่าวหาจำเลยมาแต่เพียงว่ามีกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต โจทก์จะนำสืบว่าจำเลยซื้อกระสุนปืนนั้นมาโดยยังไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมายเพื่อแสดงว่าจำเลยมีความผิดฐานมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตตามมาตรา 7 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นตามข้อกล่าวหาความผิดในคำฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2513 เวลากลางวัน จำเลยมีกระสุนปืนลูกกรดขนาด .22 ใช้ยิงได้ จำนวน 450 นัดไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลบูกิต อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยกระสุนปืนดังกล่าว 650 นัด ปรากฏตามหลักฐานว่าจำเลยได้รับอนุญาตให้มีกระสุนปืนเพียง 200 นัด ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 มาตรา 3 กับสั่งคืนกระสุนปืน 200 นัด และให้ริบกระสุนปืน 450 นัด

จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้ว่ามีกระสุนปืนไว้โดยชอบ สำหรับใช้กับอาวุธปืน 3 กระบอก ที่จำเลยได้รับอนุญาตให้มีและใช้

ศาลชั้นต้นสอบถาม โจทก์และจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่ากระสุนปืนของกลางตามฟ้องเป็นกระสุนปืนที่จำเลยใช้ยิงกับอาวุธปืนเดี่ยวลูกกรดชนิด .22 ของจำเลยจำนวน 3 กระบอก ซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนนั้นโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และโจทก์แถลงว่าตามหลักฐานของโจทก์ จำเลยได้รับอนุญาตให้มีกระสุนปืนเพียง 200 นัด ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยมีใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนแล้ว การมีกระสุนปืนสำหรับอาวุธปืนนั้นไม่ต้องมีใบอนุญาตพิเศษ เป็นการที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้กระสุนปืนไปในตัว จึงไม่มีความผิด ดังนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 875/2494 พิพากษายกฟ้อง คืนเครื่องกระสุนปืนของกลาง

โจทก์อุทธรณ์ว่า ข้อเท็จจริงยังไม่ยุติว่าจำเลยไม่ได้ดำเนินการขออนุญาตซื้อกระสุนปืน 450 นัดจากนายทะเบียนท้องที่ จึงได้ชื่อว่ามีกระสุนปืนไว้ในความครอบครองไม่รับอนุญาต ขอให้กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้โจทก์นำพยานเข้าสืบตามประเด็นที่โต้แย้ง แล้วพิพากษาลงโทษจำเลย สั่งให้คืนและริบกระสุนปืนตามฟ้อง

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่

จำเลยฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การมีกระสุนปืนไว้ในความครอบครองเพื่อใช้กับอาวุธปืนที่ได้รับอนุญาตให้มีและให้ใช้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้วนั้น หาเป็นความผิดไม่ ตามนัยแห่งมาตรา 8 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดมีเครื่องกระสุนปืนซึ่งมิใช่สำหรับใช้กับอาวุธปืนที่ตนได้รับอนุญาตให้มีและให้ใช้” ซึ่งแปลความได้ว่า หากผู้ใดมีเครื่องกระสุนปืนสำหรับใช้กับอาวุธปืนที่ได้รับอนุญาตให้มีและให้ใช้ ก็ไม่จำต้องขออนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่อันเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ นั้นเอง เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยมีกระสุนปืนของกลาง 450 นัดไว้เพื่อใช้กับอาวุธปืน 3 กระบอก ที่จำเลยมีอยู่ จำเลยก็ไม่มีความผิด และกรณีเช่นนี้ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ศาลชั้นต้นยกขึ้นอ้างนั้น ชอบแล้ว

เมื่อจำเลยมีกระสุนปืนนั้นไว้ในความครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นความผิดแล้ว การที่จำเลยจะได้รับอนุญาตให้ซื้อกระสุนปืนโดยชอบหรือไม่ ตามที่โจทก์อ้างเป็นข้อนำสืบความผิดของจำเลย จึงไม่มีประเด็นวินิจฉัย เพราะโจทก์มิได้ตั้งเป็นมูลฟ้องจำเลยในคดีนี้ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงไม่ขัดต่อบทกฎหมาย คดีไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ก็วินิจฉัยชี้ขาดได้แล้ว ฎีกาจำเลยฟังขึ้น

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

Share