คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1950/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญากับโจทก์ ให้โจทก์เช่าห้องในโรงแรมจำเลยตามสัญญากำหนดว่าโจทก์จะต้องเสนอแบบแปลนการตบแต่งห้องให้จำเลยอนุญาตและทำตามที่จำเลยอนุมัติ หาไม่ให้จำเลยเลิกสัญญาและริบเงินประกันการเช่าได้ แม้จะปรากฏว่าโจทก์เข้าไปจัดการตบแต่งห้อง โดยไม่ได้เสนอแบบแปลนต่อจำเลยเสียก่อน แต่การที่จำเลยมอบกุญแจห้องให้โจทก์เข้าไปตบแต่งห้องและมีคนของจำเลยเข้าไปบงการดูแลในการตบแต่ง ทั้งจำเลยก็กระทำกิจการอยู่ในที่แห่งเดียวกัน ปล่อยให้โจทก์ตบแต่งห้องได้ โดยไม่คัดค้านประการใด พฤติการณ์แวดล้อมดังนี้เป็นปริยายว่าจำเลยได้อนุญาตให้โจทก์เข้าตบแต่งห้องเช่าได้ โดยไม่ต้องยื่นแบบแปลนแล้ว จำเลยจะกลับมาอ้างว่าโจทก์ทำผิดสัญญา ไม่เสนอแบบแปลนก่อนตบแต่งหาได้ไม่
จำเลยขัดขวางไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาให้เช่าและเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจนโจทก์ต้องมาฟ้องเรียกเงินประกันการเช่าคืนและเรียกค่าเสียหาย ถือได้ว่าโจทก์ยินยอมเลิกการเช่ากับจำเลยแล้ว โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในเงินประกันการเช่าที่จะได้คืนจากจำเลยนับตั้งแต่วันที่จำเลยได้รับเงินนั้นไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 เมื่อโจทก์ขอเพียงนับตั้งแต่วันที่จำเลยบอกเลิกสัญญา ศาลย่อมพิพากษาให้เพียงเท่าที่โจทก์ขอส่วนดอกเบี้ยในเงินค่าเสียหายโจทก์เรียกได้นับแต่วันที่จำเลยผิดนัด เมื่อไม่ปรากฏวันผิดนัดแน่นอน ศาลย่อมคิดให้นับแต่วันฟ้อง

กรรมการทำสัญญาในฐานะผู้แทนของบริษัทจำกัดซึ่งเป็นนิติบุคคล ไม่ต้องรับผิดชอบเป็นส่วนตัว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าตึกแถวชั้นล่างของโรงแรมมโนห์ราจากจำเลยมีกำหนด 5 ปี วางเงินประกันไว้ 72,000 บาท แต่ยังมิได้กำหนดวันเริ่มชำระค่าเช่า เมื่อสร้างตึกเสร็จแล้วจำเลยไม่ยอมส่งมอบตึก แล้วกลับบอกเลิกการเช่า ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินประกันและใช้ค่าเสียหาย พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันบอกเลิกสัญญา

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ผิดนัดผิดสัญญา จำเลยริบเงินประกันไปแล้ว ขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหาย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งยืนยันตามฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและฟ้องแย้ง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาข้อ 9 ได้กำหนดไว้ว่า โจทก์จะต้องเสนอแบบแปลนการตบแต่งให้จำเลยอนุญาตและทำตามที่จำเลยอนุมัติหาไม่ก็ให้จำเลยเลิกสัญญา และริบเงินประกันการเช่านั้นเสียได้แต่ปรากฏจากการนำสืบของโจทก์อันรับฟังได้ว่าโจทก์จัดการให้เข้าไปตบแต่งโดยไม่ได้เสนอแบบแปลนต่อจำเลยเสียก่อนนั้นจริง แต่การกระทำของฝ่ายจำเลยก็เป็นปริยายให้เข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 1 ผู้เป็นคู่สัญญาและเป็นฝ่ายผู้ถือสิทธิดังนี้ ได้อนุญาตให้โจทก์เข้าไปทำการตบแต่งได้โดยไม่ต้องเสนอแบบแปลนนั้นแล้ว ดังจะเห็นได้จากการที่จำเลยที่ 2 ผู้เป็นกรรมการบริหารผู้มีอำนาจเต็มของจำเลยที่ 1 (ดังที่จำเลย 1 นำสืบในเรื่องอำนาจนี้ไว้เอง) ได้เป็นผู้สั่งให้ส่งมอบกุญแจห้องที่เช่าให้แก่โจทก์จนสามารถเข้าไปตบแต่งในห้องเช่านั้นได้ และในการตบแต่งนั้นก็ได้มีบุคคลอันเป็นที่น่าเชื่อว่าเป็นคนของจำเลยที่ 1 หรือที่ 2 นั้นเองเข้าไปบงการดูแลบอกว่าต้องแต่งอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อให้เหมือนกับห้องอื่นของโรงแรมมโนห์ราที่ให้มีร้านค้าเพื่อบริการแก่ลูกค้าผู้มาพักอาศัยในโรงแรมมโนห์รานั้นเอง จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำกิจการอยู่ในที่แห่งนั้นเองคงปล่อยโจทก์ผู้เป็นคนอยู่ถิ่นอื่นมาทำการตบแต่งดังนั้นได้โดยไม่บอกกล่าวคัดค้านแต่อย่างใดและการตบแต่งดังนี้ก็ต้องกินเวลานานหาใช่จะทำได้ชั่วครู่ยามโดยจำเลยไม่ทันมีเวลาบอกกล่าวขัดขวางอย่างไรไม่ พฤติการณ์แวดล้อมที่ปรากฏอยู่ดังนี้จึงเป็นปริยายที่ถือได้ว่าจำเลยได้อนุญาตให้โจทก์เข้าตบแต่งห้องเช่นนั้นได้โดยไม่ต้องยื่นแบบแปนต่อจำเลยนั้นแล้ว โดยจำเลยใช้คนมาดูแลแนะนำระหว่างการตบแต่งนั้นแทน เมื่อกรณีเป็นดังนี้ จำเลยจะย้อนกลับมาอ้างขึ้นใหม่ว่าโจทก์ทำผิดสัญญา คือไม่เสนอแบบแปลนตามสัญญาข้อ 9 แล้วริบเงินประกันการเช่านั้นไม่ได้ เพราะจำเลยได้ยอมสละสิทธิหรือยอมเปลี่ยนแปลงสิทธิดังนั้นให้แก่โจทก์ไปแล้ว เมื่อการเช่ารายนี้สิ้นสุดลง จำเลยจึงจำต้องคืนเงินประกันการเช่า 72,000 บาท ให้แก่โจทก์ไป

ที่จำเลยอ้างว่า โจทก์ทำผิดสัญญาข้ออื่น ๆ นั้น ศาลฎีกาฟังว่ายังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทำผิดสัญญาอันทำให้จำเลยมีสิทธิเลิกสัญญาและริบเงินประกันได้ การที่จำเลยบอกเลิกสัญญาและหวงห้ามมิให้โจทก์เข้าใช้สถานที่เช่าตามสัญญา จึงเป็นการที่ฝ่ายจำเลยทำผิดสัญญาเอง

เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ทำให้โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปต่าง ๆ แล้วไม่ได้ทำการค้าในห้องเช่า จำเลยก็ต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ซึ่งได้แก่ค่ายางปูพื้นห้องเช่า 2,000 บาท ค่าทำฝ้าหรือเพดานห้องเช่า 700 บาท ค่าทาสีห้องเช่า 600 บาท อันตกเป็นประโยชน์ได้แก่จำเลยผู้เป็นเจ้าของห้องในการต่อไปข้างหน้า

ข้อที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยใช้ค่าดอกเบี้ยในเงินที่จะต้องใช้ให้แก่โจทก์ด้วยนั้น ปรากฏว่าจำเลยขัดขวางไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาให้เช่าและเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจนโจทก์ต้องมาฟ้องเรียกเงินประกันการเช่าคืน และเรียกค่าเสียหาย ถือได้ว่า โจทก์ยินยอมเลิกการเช่ากับจำเลยแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในเงินประกันการเช่าที่จะได้คืนจากจำเลยนับตั้งแต่วันที่จำเลยรับเงินนั้นไว้ แต่คดีนี้โจทก์ขอเรียกเอาเพียงนับตั้งแต่วันที่จำเลยบอกเลิกสัญญาซึ่งน้อยกว่าที่โจทก์มีสิทธิศาลจึงพิพากษาให้เพียงเท่าที่โจทก์ขอ ส่วนดอกเบี้ยในเงินค่าเสียหายไม่ปรากฏแน่นอนจากการนำสืบของโจทก์ว่า จำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่วันใด จึงคิดให้นับแต่วันฟ้อง

พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินประกันการเช่า 72,000 บาทและใช้ค่าเสียหาย 3,300 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินประกันการเช่านับแต่วันจำเลยบอกเลิกไม่ยอมให้โจทก์เช่า และดอกเบี้ยอัตราเดียวกันในเงินค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ สำหรับจำเลยที่ 2 เข้าทำการเกี่ยวข้องในฐานะเป็นผู้แทนจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดชอบเป็นส่วนตัวต่อโจทก์ให้ยกฟ้อง

Share