แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวกับบิดาโจทก์โดยกำหนดเวลาการเช่าตั้งแต่วันที่1มกราคม2527ถึงวันที่31ธันวาคม2529เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ต่อไปจึงบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่เช่าแต่จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเพียงพอทำให้จำเลยเข้าใจถึงมูลเหตุการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยเนื่องจากการผิดสัญญาของจำเลยที่จำเลยได้ทำให้ไว้กับบิดาโจทก์ได้อย่างชัดแจ้งแล้วส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ได้ที่ดินมาอย่างไรตั้งแต่เมื่อใดนั้นเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ส่วนที่จำเลยอ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในข้อที่ว่าสิทธิของโจทก์มีหรือไม่ตามคำฟ้องจำเลยไม่อาจทราบได้จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินกับบิดาโจทก์เป็นเรื่องคู่สัญญาเช่าคนละคนกันจำเลยมิใช่คู่สัญญากับโจทก์การที่โจทก์มิได้บรรยายสิทธิของตนมาให้ครบถ้วนจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นแม้ศาลอุทธรณ์จะรวมวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทว่าฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุมหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นกล่าวถึงความผูกพันระหว่างคู่สัญญาและผลของสัญญาเช่าระหว่างบิดาจำเลยกับบิดาโจทก์ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำให้การของจำเลยที่ยกขึ้นอ้างต่อสู้คำฟ้องของโจทก์ก็เพื่อนำไปสู่ข้อวินิจฉัยข้ออ้างของจำเลยตามฟ้องแย้งดังนั้นเมื่อฟ้องแย้งของจำเลยไม่ได้ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าเหตุใดโจทก์จึงต้องผูกพันตามสัญญาเช่าที่บิดาจำเลยทำกับบิดาโจทก์เพื่อบังคับให้โจทก์ต้องปฏิบัติตามสัญญาอย่างไรเช่นนี้เท่ากับฟ้องแย้งของจำเลยมิได้บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาจึงเป็นฟ้องแย้งที่เคลือบคลุมศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะหยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยหาใช่ไม่ตรงประเด็นที่กำหนดไว้ไม่ ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่าบิดาโจทก์และบิดาจำเลยได้ทำสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าธรรมดาเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเมื่อบิดาจำเลยตามสิทธิการเช่าดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลยจำเลยจึงย่อมมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทจนกว่าจะครบสัญญานั้นเป็นปัญหาคำขอบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลยเมื่อฟ้องแย้งของจำเลยไม่มีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองแล้วปัญหาข้อนี้จึงตกไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่37355 ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินของโจทก์ดังกล่าวกับนายเทนฟอง แซ่จิ้ว บิดาของโจทก์เพื่อสร้างบ้าน ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 200 บาท ตั้งแต่วันที่1 มกราคม 2527 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2529 เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าจำเลยไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ไม่ได้ขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินดังกล่าวแม้โจทก์จะบอกกล่าวแล้ว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และไม่สามารถใช้ที่ดินของโจทก์ทำประโยชน์ได้ ซึ่งหากโจทก์นำให้ผู้อื่นเช่า จะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,500 บาทขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินดังกล่าว
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 37355 ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มาอย่างไร เมื่อประมาณปี 2520 บิดาจำเลยได้เช่าที่ดินโฉนดเลขที่37355 ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จากนายเทนฟองแซ่จิ้ซ บิดาโจทก์ เพื่อปลูกสร้างบ้านสองชั้น มีอัตราค่าเช่าเดือนละ 200 บาท มีกำหนดเวลาเช่า 35 ปี โดยตกลงว่าเมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าบิดาจำเลยต้องยกสิ่งปลูกสร้างในที่ดินที่เช่าให้แก่บิดาโจทก์สัญญาเช่าดังกล่าวจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่า ต่อมาบิดาจำเลยถึงแก่ความตาย บิดาโจทก์จึงทำสัญญาเช่ากับจำเลย โดยถือสัญญาเช่าเดิมที่ตกลงกับบิดาจำเลย ดังนั้นสัญญาเช่าที่บิดาโจทก์ทำกับจำเลยดังกล่าวเป็นนิติกรรมอำพรางไม่ได้มีเจตนาให้มีผลบังคับ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำสัญญาเช่าดังกล่าวมาฟ้องเป็นคดีนี้และระหว่างที่เช่าที่ดินดังกล่าวบิดาจำเลยหรือจำเลยได้ชำระค่าเช่าที่ดินให้แก่ฝ่ายโจทก์มาตลอด ไม่เคยผิดสัญญาการที่จำเลยคงอยู่อาศัยในที่ดินที่เช่า หาใช่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ไม่ จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาจากโจทก์ทั้งที่ดินที่เช่าหากให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ300 บาท ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 37355 ตำบลตะพง อำเภอหาดใหญ่ ให้จำเลยมีกำหนดเวลาเช่า 35 ปี ในอัตราเช่าเดือนละ 300 บาท ถ้าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุมเพราะจำเลยมิได้บรรยายฟ้องแย้งให้ชัดเจนว่า บิดาจำเลยเช่าที่ดินจากบิดาโจทก์เมื่อใด และมีกำหนดเวลาเช่า 35 ปี หรือ 3 ปี บิดาโจทก์ไม่เคยทำสัญญาเช่ากับบิดาจำเลย โดยกำหนดเวลาเช่า 35 ปีและตกลงว่าเมื่อครบกำหนดเวลาเช่าบิดาจำเลยต้องยกสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดในที่ดินที่เช่าให้แก่บิดาโจทก์ สัญญาเช่าที่บิดาโจทก์ทำกับจำเลยเป็นสัญญาเช่าธรรมดาที่ทำขึ้นตามเจตนาของบิดาโจทก์กับจำเลยที่แท้จริง หาใช่นิติกรรมอำพรางหรือเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าจำเลยไม่มีสิทธิบังคับให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าให้แก่จำเลย โดยมีกำหนดเวลาเช่า 35 ปี ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 37355 ตำบลตะพง อำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลา ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 300 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 15 มิถุนายน 2537)จนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินดังกล่าว
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์มิได้บรรยายว่า โจทก์ได้ที่ดินมาอย่างไร ตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวกับบิดาโจทก์ โดยกำหนดเวลาการเช่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2527ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2529 เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ต่อไป จึงบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่เช่า แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จากคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเพียงพอทำให้จำเลยเข้าใจถึงมูลเหตุการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยเนื่องจากการผิดสัญญาของจำเลยที่จำเลยได้ทำให้ไว้กับบิดาโจทก์ได้อย่างชัดแจ้งแล้ว ส่วนข้อเท็จจริงตามที่จำเลยอ้างมาในฎีกานั้นเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ส่วนที่จำเลยอ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในข้อที่ว่า สิทธิของโจทก์มีหรือไม่ตามคำฟ้อง จำเลยไม่อาจทราบได้จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินกับบิดาโจทก์เป็นเรื่องคู่สัญญาเช่าคนละคนกัน จำเลยมิใช่คู่สัญญากับโจทก์ การที่โจทก์มิได้บรรยายสิทธิของตนมาให้ครบถ้วนจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะรวมวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าว จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ที่จำเลยฎีกาข้อต่อมาว่า ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยคดีตรงตามประเด็นที่กำหนดไว้ โดยจำเลยอ้างมาในฎีกาว่า การที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าคำฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุมหรือไม่ แต่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยในประเด็นฟ้องแย้งจำเลยเคลือบคลุมหรือไม่ กลับไปวินิจฉัยความผูกพันระหว่างคู่สัญญาและผลของสัญญาเช่า จึงไม่ตรงประเด็นที่กำหนดไว้นั้น ในประเด็นข้อนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวนและเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นกล่าวถึงความผูกพันระหว่างคู่สัญญาและผลของสัญญาเช่า ระหว่างบิดาจำเลยกับบิดาโจทก์ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำให้การของจำเลยที่ยกขึ้นอ้างต่อสู้คำฟ้องของโจทก์ ก็เพื่อนำไปสู่ข้อวินิจฉัยข้ออ้างของจำเลยตามฟ้องแย้ง ดังนั้น เมื่อฟ้องแย้งของจำเลยไม่ได้ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าเหตุใดโจทก์จึงต้องผูกพันตามสัญญาเช่าที่บิดาจำเลยทำกับบิดาโจทก์เพื่อบังคับให้โจทก์ต้องปฏิบัติตามสัญญาอย่างไร เช่นนี้เท่ากับฟ้องแย้งของจำเลยมิได้บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาจึงเป็นฟ้องแย้งที่เคลือบคลุม ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะหยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยได้ หาใช่ไม่ตรงประเด็นที่กำหนดไว้ดังที่จำเลยฎีกาไม่
ส่วนที่จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า บิดาโจทก์และบิดาจำเลยได้ทำสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าธรรมดาเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเมื่อบิดาจำเลยตาย สิทธิการเช่าดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลยจำเลยจึงย่อมมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทจนกว่าจะครบสัญญานั้นเห็นว่าปัญหาข้อนี้เป็นคำขอบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลย เมื่อฟ้องแย้งของจำเลยไม่มีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172วรรคสองแล้ว ปัญหาข้อนี้จึงตกไป
พิพากษายืน