แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ได้รับอนุญาตจากกรมทรัพยากรธรณีให้เจาะและใช้น้ำบาดาลทำสัญญากับจำเลยว่า โจทก์จะใช้น้ำบาดาลที่ได้รับอนุญาตให้เจาะและใช้แล้วนำมาผลิตน้ำประปาจำหน่ายให้แก่จำเลย ส่วนจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าน้ำให้โจทก์ตามอัตราเดียวกันกับค่าน้ำของการประปาภูมิภาค อันมีลักษณะเช่นเดียวกันกับกิจการประปา ถือได้ว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นการประกอบกิจการค้าขายเกี่ยวกับการประปาอันเป็นสาธารณูปโภคซึ่งโจทก์จะกระทำมิได้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตหรือได้รับสัมปทานจากรัฐมนตรี เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับอนุญาตหรือได้รับสัมปทานให้ดำเนินการน้ำอุปโภคบริโภคที่โจทก์ให้บริการจำหน่ายแก่จำเลยจึงเป็นกิจการประปาอันเป็นสาธารณูปโภคที่ต้องห้ามชัดแจ้งตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 ข้อ 3 ข้อ 4 และข้อ 16 เรื่องควบคุมกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคซึ่งมีโทษทางอาญา ข้อตกลงเรื่องการซื้อขายน้ำอุปโภคและบริโภคดังกล่าว จึงเป็นข้อตกลงที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระราคาค่าน้ำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบธุรกิจจัดสรรที่ดินและบ้านโครงการหมู่บ้านธารารินทร์ จำเลยเป็นผู้ซื้อบ้านและที่ดินในโครงการดังกล่าวและตกลงให้โจทก์เป็นผู้จัดหาให้บริการน้ำและสาธารณูปโภคอื่น จำเลยค้างชำระค่าน้ำและค่าบริการสาธารณูปโภค ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าน้ำ 17,568 บาท และค่าบริการสาธารณูปโภค 1,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 1,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 100 บาท นับแต่วันที่ 10 ของทุกเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2540 ถึงเดือนมีนาคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์อีก 17,568 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า น้ำอุปโภคบริโภคที่โจทก์ให้บริการเป็นกิจการประปาหรือไม่ เห็นว่า ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลล่างได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 โดยศาลล่างฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ให้บริการน้ำอุปโภคบริโภคและจำเลยยอมชำระค่าน้ำอุปโภคบริโภค (น้ำบาดาล) ให้แก่โจทก์ตามจำนวนน้ำที่ใช้ในอัตราเดียวกับค่าน้ำของการประปาภูมิภาคตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและบันทึกต่อท้ายเอกสารหมาย จ.3 โจทก์ได้รับอนุญาตให้เจาะและใช้น้ำบาดาลจากกรมทรัพยากรธรณี ตามใบอนุญาตเอกสารหมาย จ.10 โดยปรากฏข้อความตามบันทึกต่อท้ายสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินข้อ 2 เอกสารหมาย จ.3 แผ่นที่ 5 ว่า ผู้ซื้อตกลงชำระค่าน้ำอุปโภคบริโภค (น้ำบาดาล) ให้แก่ผู้ขายตามจำนวนน้ำที่ใช้ การคำนวณค่าน้ำให้ใช้วิธีการคูณตามจำนวนหน่วยที่ใช้จากมาตรวัดน้ำในอัตราเดียวกันกับค่าน้ำของการประปาภูมิภาค ส่อแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาตามบันทึกต่อท้ายสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินข้อ 2 ว่าเป็นข้อตกลงเรื่องการซื้อขายน้ำอุปโภคบริโภคโดยโจทก์จะใช้น้ำบาดาลที่ได้รับอนุญาตให้เจาะและใช้แล้วนำมาผลิตน้ำประปาจำหน่ายแก่จำเลย ส่วนจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระราคาค่าน้ำให้โจทก์ตามอัตราเดียวกันกับค่าน้ำประปาของการประปาภูมิภาคอันมีลักษณะเช่นเดียวกันกับกิจการประปาถือได้ว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นการประกอบกิจการค้าขายเกี่ยวกับการประปาอันเป็นสาธารณูปโภคซึ่งโจทก์จะกระทำมิได้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตหรือได้รับสัมปทานจากรัฐมนตรี เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับอนุญาตหรือได้รับสัมปทานให้ดำเนินการน้ำอุปโภคบริโภคที่โจทก์ให้บริการจำหน่ายแก่จำเลยจึงเป็นกิจการประปาอันเป็นสาธารณูปโภคที่ต้องห้ามชัดแจ้งตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 ข้อ 3 ข้อ 4 และข้อ 16 เรื่องควบคุมกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคซึ่งมีโทษทางอาญา ข้อตกลงเรื่องการซื้อขายน้ำอุปโภคและบริโภคดังกล่าว จึงเป็นข้อตกลงที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระราคาค่าน้ำ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น