แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ส. เข้าทำงานกับโจทก์ทั้งสองครั้ง สัญญาค้ำประกัน ส. ที่จำเลยทำไว้กับโจทก์เป็นการค้ำประกันการเข้าทำงานครั้งแรก เมื่อโจทก์ยอมรับว่าการทำงานครั้งแรกของ ส. มิได้ทำความเสียหายให้โจทก์ เมื่อ ส. เลิกทำงานกับโจทก์ครั้งแรกสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ย่อมสิ้นผลผูกพัน ต่อมา ส. เข้าทำงานกับโจทก์ใหม่และก่อความเสียหายให้โจทก์ จำเลยย่อมไม่มีความผูกพันใด ๆ ที่จะต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันที่ทำไว้เดิม แม้จำเลยจะทำหนังสือรับสภาพหนี้หลังจากที่ ส. ทำละเมิดให้แก่โจทก์ก็ตาม จำเลยหาต้องผูกพันชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้แต่อย่างใดไม่เพราะไม่มีมูลหนี้ที่จะให้จำเลยรับสภาพหนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้จำนวน 295,550 บาท ให้แก่โจทก์เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่นำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 295,550บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาค้ำประกันการเข้าทำงานของนายสันติวิโรจน์โยธิน กับโจทก์ ต่อมานายสันติได้ลาออกจากงาน โจทก์รับนายสันติเข้าทำงานใหม่ภายหลัง จึงไม่เกี่ยวกับการค้ำประกันในครั้งแรก จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ด้วยความสำคัญผิดอันเกิดจากการหลอกลวงของโจทก์ จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 295,550 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาตามฎีกาโจทก์มีว่า จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามหนังสือรับสภาพหนี้หรือไม่ ปัญหานี้โจทก์ฎีกาโต้แย้งว่า จำเลยยอมรับแล้วว่าเป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกันและหนังสือรับสภาพหนี้ตามคำฟ้องไว้กับโจทก์และนายสันติหายจากงานของโจทก์ไปชั่วคราวมิได้ลาออกจากงานแต่อย่างใด จำเลยยังคงต้องผูกพันตามสัญญาค้ำประกันที่ทำไว้กับโจทก์ หนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้จึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามหนังสือรับสภาพหนี้นั้นเห็นว่า นายอนุวัตร ปิยะวัฒนาโรจน์ หุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์เคยเบิกความไว้เมื่อวันที่ 16สิงหาคม 2536 ว่า นายสันติ วิโรจน์โยธิน เป็นน้องชายจำเลย เข้าทำงานกับโจทก์สองครั้งหลังทำงานครั้งแรกออกไปแล้วเข้าทำงานกับโจทก์ใหม่ ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ทำครั้งแรกเมื่อปี 2529 ถึง 2530 นายสันติลาออกแล้วเข้าทำงานกับโจทก์ใหม่เมื่อปี 2531 นายสันติเข้าทำงานครั้งแรกจำเลยทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายสันติแก่โจทก์ นายสันติทำงานกับโจทก์ในปี 2530 แล้วหายไปเฉย ๆ ไม่ได้ลาออก การทำงานครั้งแรกของนายสันติกับโจทก์ นายสันติไม่ได้ก่อความเสียหายแก่โจทก์ ต่อมาปี 2531 นายสันติเข้าทำงานกับโจทก์ต่อ คำเบิกความของโจทก์เจือสมข้อต่อสู้ของจำเลยฟังได้ว่า นายสันติเข้าทำงานกับโจทก์สองครั้ง สัญญาค้ำประกันนายสันติที่จำเลยทำไว้กับโจทก์เป็นการค้ำประกันการเข้าทำงานครั้งแรก เมื่อโจทก์ยอมรับว่าการทำงานครั้งแรกของนายสันติมิได้ทำความเสียหายให้โจทก์ เมื่อนายสันติเลิกทำงานกับโจทก์ครั้งแรก สัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ย่อมสิ้นผลผูกพัน ต่อมานายสันติเข้าทำงานกับโจทก์ใหม่ และก่อความเสียหายให้โจทก์ จำเลยก็ไม่มีความผูกพันใด ๆ จะต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันที่ทำไว้เดิม จำเลยจึงหาต้องผูกพันชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้แต่อย่างใดเพราะหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวไม่มีมูลหนี้ที่จะให้จำเลยรับสภาพหนี้ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน