แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้น การนำข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาส่วนอาญามารับฟังในคดีส่วนแพ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 3 ประการ คือ คำพิพากษาคดีอาญาต้องถึงที่สุด ข้อเท็จจริงนั้นเป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาและวินิจฉัยไว้โดยชัดแจ้ง และเป็นคู่ความเดียวกัน คดีส่วนอาญาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่า จำเลยมีความผิดฐานรับของโจรชิ้นส่วนรถยนต์ของ อ. ผู้เอาประกันภัยกับโจทก์ พฤติการณ์ในคดีส่วนแพ่ง คือ พบชิ้นส่วนรถยนต์บรรทุกสิบล้อพิพาทในบริเวณอู่ซ่อมรถที่จำเลยดำเนินกิจการ จำเลยรับว่าซื้อรถยนต์พิพาทจาก ก. ราคา 200,000 บาท โดยโอนลอยทั้งที่ ก. เพิ่งซื้อมาจากบริษัท ห. ในราคา 650,000 บาท ดังนั้น จำเลยรับซื้อรถยนต์ทั้งคันไว้ในราคาต่ำผิดปกติ จึงฟังได้ว่า จำเลยรับซื้อรถยนต์พิพาททั้งคันโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ลักมา แม้ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่าจำเลยรับของโจรชิ้นส่วนรถยนต์ มิได้รับของโจรรถยนต์ทั้งคันก็ตาม แต่คำพิพากษาคดีส่วนแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 47 เมื่อคดีส่วนแพ่งฟังว่า จำเลยรับรถยนต์ไว้ทั้งคันก็ให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายทั้งคันแก่โจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 509,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 509,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 สิงหาคม 2547) ไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 25,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งกันรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกสิบล้อยี่ห้อฮีโน่ หมายเลขทะเบียน 74 – 7941 กรุงเทพมหานคร จากนายอภิชัย ผู้เอาประกันภัย ขณะเกิดเหตุอยู่ในอายุสัญญาประกันภัย โดยเมื่อวันที่ 26 ถึง 27 สิงหาคม 2546 มีคนร้ายลักรถยนต์พิพาทไปจากลานรับฝากรถและมีการร้องทุกข์ไว้แล้วตามรายงานประจำวันต่อมาวันที่ 22 กันยายน 2546 เจ้าพนักงานตำรวจทำการตรวจค้นอู่สมพงษ์ในท้องที่จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งมีจำเลยเป็นเจ้าของกิจการพบชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์พิพาทหลายรายการ มีการตรวจยึดไว้เป็นของกลางและส่งไปตรวจพิสูจน์ หลังจากนั้นนายอภิชัยขอรับชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์พิพาทรวม 8 ชิ้น จากสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสุพรรณบุรี และโจทก์ดำเนินการซ่อมแซมชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์พิพาท โดยซื้ออะไหล่ใหม่มาทดแทนประกอบขึ้นใหม่เสียค่าใช้จ่ายไปเป็นเงิน 509,500 บาท เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนหรือรับของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ตามสำเนาคำพิพากษาแนบท้ายฎีกาของจำเลย คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำละเมิดทำให้รถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยเสียหายหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาอ้างว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยไม่มีความผิดคือไม่ได้ลักทรัพย์หรือรับของโจรของผู้เสียหายไป จึงฟังเป็นยุติว่าจำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องนั้น เห็นว่า การนำข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาส่วนอาญามารับฟังในคดีส่วนแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 3 ประการ กล่าวคือ คำพิพากษาคดีอาญาต้องถึงที่สุด ข้อเท็จจริงนั้นเป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาและได้วินิจฉัยไว้โดยชัดแจ้ง และผู้ที่ถูกข้อเท็จจริงในคดีอาญามาผูกพันต้องเป็นคู่ความเดียวกับในคดีอาญา สำหรับคดีนี้แม้ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนและรับของโจร แต่โจทก์อุทธรณ์ซึ่งต่อมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้วว่าจำเลยมีความผิดฐานรับของโจร ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 508/2554 หมายเลขแดงที่ 9500/2555 ของศาลอุทธรณ์ ซึ่งศาลฎีกาเรียกมาประกอบการพิจารณาคดีนี้ ประเด็นข้อพิพาทคดีนี้เป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญา คู่ความในคดีนี้ก็เป็นคู่ความเดียวกับคดีอาญา ดังนั้นการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าว ว่าจำเลยรับของโจรชิ้นส่วนรถยนต์ไว้ คงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยรับชิ้นส่วนอื่นด้วยหรือไม่ เห็นว่า จากพฤติการณ์ที่พบชิ้นส่วนรถยนต์พิพาทในบริเวณอู่ซ่อมรถที่จำเลยเป็นผู้ดำเนินกิจการประกอบกับจำเลยเบิกความรับว่า ได้ซื้อรถยนต์คันพิพาทมาจากนายกิตติในราคา 200,000 บาท ด้วยวิธีการโอนลอยจากนายกิตติ ทั้งที่ก่อนหน้านั้น 5 วัน นายกิตติเพิ่งซื้อจากบริษัทหลานหลวง คอนสตรัคชั่น จำกัด ในราคา 650,000 บาท ดังนั้น จำเลยรับซื้อรถยนต์ทั้งคันไว้ในราคาต่ำผิดปกติ จึงฟังได้ว่าจำเลยรับซื้อรถยนต์พิพาททั้งคันโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมา แม้ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่าจำเลยรับของโจรชิ้นส่วนของรถยนต์มิได้รับของโจรรถยนต์ทั้งคันก็ตาม แต่คำพิพากษาคดีส่วนแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47 เมื่อคดีส่วนแพ่งฟังว่าจำเลยรับรถยนต์ไว้ทั้งคันก็ให้จำเลยรับผิดได้ ที่จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าจำเลยเป็นเพียงผู้เช่าที่ดิน ส่วนบริเวณที่พบของกลางก็ไม่ใช่บริเวณที่จำเลยเช่า จำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องและมีหลักฐานการซื้อขายมาประกอบ จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์นั้น ไม่มีน้ำหนักรับฟังเพราะเป็นการฝ่าฝืนข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ