แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีอาญาแม้จะเป็นเพียงชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ก็ต้องนำสืบให้ครบองค์ประกอบความผิดที่ได้ฟ้อง จึงจะทำให้คดีโจทก์มีมูลอันจะพึงประทับฟ้องไว้พิจารณาต่อไปได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 167
ข้อเท็จจริงตามฟ้องและในทางนำสืบของโจทก์ฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการสั่งให้หยุดกิจการค้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดชั่วคราว และขนสินค้าทั้งหมดของห้างซึ่งโจทก์เป็นหุ้นส่วนและเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยออกไปตรวจนับที่อื่นโดยไม่ให้โจทก์มีส่วนรู้เห็นและใช้เวลาในการตรวจสอบนานกว่าปกติก่อนที่จะแจ้งโจทก์ว่าสินค้าสูญหายไปจากบัญชีโดยอ้างว่าสินค้ามีปริมาณมากและโจทก์ไม่ยอมส่งมอบบัญชีรายรับ รายจ่ายของห้างฯ ให้แก่จำเลย อีกทั้งสมุดบัญชีของห้างฯ ยังกระจัดกระจายไม่ต่อเนื่องทำให้ยากต่อการตรวจสอบ ทำให้การตรวจสอบล่าช้า การที่โจทก์นำสืบแต่เพียงว่าตรวจพบว่าสินค้าที่จำเลยอ้างว่าสูญหายนั้นไปปรากฏในช่องรายการจ่ายของสมุดคุมยอดจำนวนสินค้าอันแสดงว่าสินค้าเหล่านั้นไม่ได้หายไปในวันที่จำเลยทำการตรวจนับสินค้า แต่ถูกจำหน่ายไปภายหลังโดยจำเลยมีเจตนายักยอกเอาเป็นของตน โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นชัดว่าการที่สินค้าสูญหายเกิดจากการที่จำเลยเจตนาเบียดบังเอาสินค้าหรือเงินที่ได้จากการจำหน่ายสินค้านั้นเป็นของจำเลยหรือบุคคลที่สามโดยทุจริตอย่างไร เพราะหากจำเลยมีเจตนาเช่นนั้นจริง จำเลยย่อมไม่นำรายการสินค้าที่ตนยักยอกมาลงในรายการจ่ายดังกล่าวให้เป็นพยานหลักฐานผูกมัดตนเป็นแน่ เมื่อโจทก์ไม่นำสืบความจริงในข้อนี้ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด พยานหลักฐานโจทก์ในชั้นนี้จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าคดีโจทก์มีมูลตามข้อกล่าวหา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 353, 91 และนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2435/2541, 3383/2541, 3384/2541, 3427/2541 และ 3428/2541 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า คดีโจทก์มีมูลพอที่จะประทับฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่ เห็นว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยสั่งหยุดกิจการของห้างหุ้นส่วนจำกัดวีรังคบุตรพร้อมกับขนสินค้าออกไปตรวจนับ โดยไม่ยอมให้โจทก์มีส่วนรับรู้และห้ามปรามมิให้โจทก์เข้าเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบสินค้า อีกทั้งใช้เวลาตรวจสอบเนิ่นนานเกินความจำเป็นแล้วจึงแจ้งว่าสินค้าสูญหายไปจากบัญชี เป็นเหตุผลเพียงพอให้ฟังว่าคดีโจทก์มีมูลที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานยักยอกนั้น ศาลฎีกาได้พิจารณาคำเบิกความของโจทก์แล้ว คงได้ความแต่เพียงว่า จำเลยสั่งให้หยุดกิจการค้าชั่วคราวและขนสินค้าออกไปตรวจนับที่อื่น โดยไม่ให้โจทก์มีส่วนรู้เห็นและใช้เวลาในการตรวจสอบนานกว่าปกติแล้วแจ้งให้โจทก์ทราบว่าสินค้าสูญหายไปจากบัญชี ซึ่งยังฟังไม่ถนัดว่าเป็นพฤติการณ์เบียดบังทรัพย์ตามที่โจทก์ฎีกา เพราะตามทางไต่สวนได้ความว่า หลังจากที่โจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือเร่งรัดให้จำเลยส่งมอบบัญชีรายรับ-รายจ่าย และบัญชีสินค้าคงเหลือแก่โจทก์ จำเลยได้แจ้งให้ทนายโจทก์ทราบว่า เหตุที่ยังไม่แจ้งผลการตรวจสอบสินค้าคงเหลือและการดำเนินการด้านบัญชีรายรับ-รายจ่ายล่าช้า เนื่องจากปริมาณสินค้ามีมาก การตรวจนับจึงยังไม่แล้วเสร็จ และโจทก์กับนางสาวบรรณเพ็ญ วีรังคบุตร พี่สาวของโจทก์มิได้ส่งมอบบัญชีรายรับ-รายจ่ายของห้างให้แก่จำเลย นอกจากนี้แล้วจำเลยยังแจ้งไปด้วยว่าสมุดบัญชีต่าง ๆ ของห้างก็ไม่บริบูรณ์และกระจัดกระจายไม่ต่อเนื่องทำให้ยากแก่การตรวจสอบ ซึ่งถ้าความจริงเป็นไปตามหนังสือที่จำเลยมีไปถึงทนายโจทก์ดังกล่าว การที่จำเลยใช้เวลาตรวจสอบสินค้าและสมุดบัญชีนานกว่าปกติก็มีเหตุผลอยู่ ส่วนที่นายฉัตรชัย ศรีว่องไทย ทนายโจทก์เบิกความว่า หลังจากที่จำเลยมีหนังสือลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2541 แจ้งให้โจทก์ทราบว่าสินค้าของห้างสูญหาย พยานได้ตรวจสอบบัญชีสินค้าดังกล่าวพบว่ามีสินค้าบางรายการที่จำเลยอ้างว่าสูญหายถูกขายให้แก่บุคคลภายนอก แสดงว่าสินค้าเหล่านั้นมิได้สูญหายตามที่จำเลยกล่าวอ้าง แต่จำเลยมีเจตนายักยอกเอาเป็นของตนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ความข้อนี้เป็นข้อสำคัญที่สุด เพราะถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ดังคำของนายฉัตรชัย คดีโจทก์ก็น่าจะมีมูลพอที่จะประทับฟ้องไว้พิจารณา แต่โจทก์กลับไม่นำสืบให้ปรากฏชัดว่า สินค้าตามรายการที่โจทก์ทำเครื่องหมายดอกจันและขีดเส้นไต้ไว้ในสมุดทำการตรวจนับสินค้าคงเหลือ ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นสินค้าที่จำเลยอ้างว่าหายไปแต่ไปปรากฏในช่องรายการจ่ายของสมุดคุมยอดจำนวนสินค้าอันแสดงว่าสินค้าเหล่านั้นไม่ได้หายไปในวันที่จำเลยทำการตรวจนับสินค้า แต่ถูกจำหน่ายไปภายหลังนั้น เกิดจากเจตนาเบียดบังเอาสินค้าหรือเงินที่ได้จากการจำหน่ายสินค้านั้นเป็นของจำเลยหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต เพราะหากจำเลยมีเจตนาเช่นนั้นจริง จำเลยย่อมไม่นำรายการสินค้าที่ตนยักยอกมาลงในรายการจ่ายดังกล่าวให้เป็นพยานหลักฐานผูกมัดตนเป็นแน่ เมื่อโจทก์ไม่นำสืบความจริงในข้อนี้ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด พยานหลักฐานโจทก์ในชั้นนี้จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าคดีโจทก์มีมูลตามข้อกล่าวหา เพราะแม้จะเป็นเพียงชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ก็ต้องนำสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดที่ได้ฟ้อง จึงจะทำให้คดีโจทก์มีมูลอันศาลจะพึงประทับฟ้องไว้พิจารณาต่อไปได้ ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลพอที่จะประทับฟ้องไว้พิจารณานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.