คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 613/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ค่าขึ้นศาลเฉพาะศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นกำหนดให้เป็นพับ แต่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ต้องวางเงินค่าขึ้นศาลจำนวนนี้ต่อศาลชั้นต้นเมื่อยื่นฎีกา เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษา ศาลฎีกากำหนดให้ค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งรวมทั้งค่าขึ้นศาลเฉพาะในชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ โดยระบุว่านอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ดังนี้ย่อมหมายความว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับค่าขึ้นศาลเฉพาะในศาลชั้นต้นยังมีผลบังคับแก่คู่ความอยู่ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดใช้ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งการกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมเพียงใดนั้นย่อมเป็นดุลพินิจของศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 161 วรรคหนึ่ง โดยไม่จำต้องคำนึงถึงจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นที่สุดตามที่จำเลยที่ 2 อ้างมา คดีนี้จำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายแพ้คดีในจำนวนทุนทรัพย์ 700,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเมื่อคำนวณค่าขึ้นศาลทั้งสามชั้นศาลแล้วฎีกาจึงไม่กำหนดให้ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นเป็นพับไปด้วย ที่ศาลชั้นต้นไม่คืนค่าขึ้นศาลเฉพาะศาลชั้นต้นที่จำเลยที่ 2 วางใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นเงิน 42,602.50 บาท จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 2,389,898.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 เมษายน 2538 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์จำนวน 1,500,000 บาท ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์จำนวน 1,300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวตามลำดับนับแต่วันที่ 29 เมษายน 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ครบถ้วนให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโฉนดเลขที่ 27409 ตำบลแสมดำ (บางบอน) อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาด เอาเงินชำระหนี้จำนองแก่โจทก์ 700,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว กับให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง โฉนดเลขที่ 14686 ตำบลราษฎร์บูรณะ (ราษฎร์บูรณะตะวันออก) อำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามชำระจนครบ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ของศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดใช้ค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลแทนโจทก์ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์จำนวน 700,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 เมษายน 2538 จนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโฉนดเลขที่ 27409 ตำบลแสมดำ (บางบอน) อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ออกขายทอดตลาดชำระหนี้ หากยังไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 ชำระจนครบนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยที่ 2 ยื่นคำแถลงขอรับเงินค่าฤชาธรรมเนียม (ค่าขึ้นศาล) ที่วางใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นเงิน 85,205 บาท คืน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ให้ตรวจคืนค่าขึ้นศาลเฉพาะชั้นอุทธรณ์แก่จำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาศาลฎีกา
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งอันเป็นปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่คืนค่าขึ้นศาลเฉพาะในศาลชั้นต้นที่จำเลยที่ 2 วางใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นเงิน 42,602.50 บาท เป็นการชอบหรือไม่ สำหรับค่าขึ้นศาลเฉพาะชั้นอุทธรณ์เป็นเงิน 42,602.50 บาท นั้น จำเลยที่ 2 ได้รับคืนไปแล้ว ในปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว เห็นว่า ค่าขึ้นศาลเฉพาะศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นกำหนดให้เป็นพับ แต่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ต้องวางเงินค่าขึ้นศาลจำนวนนี้ต่อศาลชั้นต้นเมื่อยื่นฎีกา เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษา ศาลฎีกากำหนดให้ค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งรวมทั้งค่าขึ้นศาลเฉพาะในชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ โดยระบุด้วยว่านอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ดังนี้ ย่อมหมายความว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับค่าขึ้นศาลเฉพาะในศาลชั้นต้นยังคงมีผลบังคับแก่คู่ความอยู่ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดใช้ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งการกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมเพียงใดนั้นย่อมเป็นดุลพินิจของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 วรรคหนึ่ง โดยไม่จำต้องคำนึงถึงจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นที่สุดตามที่จำเลยที่ 2 อ้างมาในอุทธรณ์ คดีนี้จำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายแพ้คดีในจำนวนทุนทรัพย์ 700,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย เมื่อคำนวณค่าขึ้นศาลทั้งสามชั้นศาลแล้วศาลฎีกาจึงไม่กำหนดให้ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นเป็นพับไปด้วย ที่ศาลชั้นต้นไม่คืนค่าขึ้นศาลเฉพาะศาลชั้นต้นที่จำเลยที่ 2 วางใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นเงิน 42,602.50 บาท จึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share