คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 251/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ในการให้ข้าราชการไปศึกษา ฝึกอบรม และดูงาน ณ ต่างประเทศ นอกจากโจทก์และจำเลยจะต้องปฏิบัติต่อกันให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนต่างๆ อันเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับเรื่องทุนแล้ว โจทก์และจำเลยยังมีสิทธิและหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อกันให้เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการให้ข้าราชการไปศึกษา ฝึกอบรมและดูงาน ณ ต่างประเทศฯ และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย ซึ่งตามระเบียบข้อ 8 และที่แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดให้โจทก์ต้องทำหนังสือสัญญาผูกมัดและกำหนดให้จำเลยต้องกลับมาปฏิบัติงานชดใช้เวลาหรือเงินทุนและเงินต่างๆ แก่โจทก์ในกรณีที่จำเลยได้รับทุนจากโจทก์ตามที่ทางราชการโจทก์กำหนดไว้ ฉะนั้น เมื่อปรากฎว่าจำเลยได้รับทุนตามฟ้องแล้ว โจทก์ไม่ได้ทำหนังสือสัญญาผูกมัดจำเลยเป็นลายลักษณ์อักษรตามแบบและวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้ โจทก์จึงไม่อาจกล่าวอ้างได้ว่าจำเลยยังรับราชการไม่ครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาในการลาไปฝึกอบรม ณ ต่างประเทศได้ อีกทั้งเมื่อจำเลยขออนุญาตลาออกจากราชการกับโจทก์ โจทก์ก็ได้อนุมัติโดยไม่ปรากฏข้อโต้แย้งใดๆ จากโจทก์ด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิใดๆ ที่จะเรียกร้องให้จำเลยชดใช้เงินทุนและเงินต่างๆ ตามฟ้องให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,029,365.545 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 925,272.40 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยไม่โต้เถียงและรับกันฟังได้ว่า เดิมจำเลยเป็นข้าราชการ รับราชการสังกัดโจทก์ ระหว่างรับราชการจำเลยเคยได้รับอนุมัติให้ลาศึกษาต่อภายในประเทศ ลาฝึกอบรม ณ ประเทศญี่ปุ่น และลาฝึกอบรม ณ ประเทศยูโกสลาเวีย รวม 3 ครั้ง โดยได้รับเงินเดือนเต็มระหว่างลาซึ่งจำเลยทำสัญญาศึกษาต่อภายในประเทศไว้กับโจทก์ ส่วนการลาฝึกอบรม ณ ประเทศญี่ปุ่น ด้วยทุนประเภท 1 ข. และลาฝึกอบรม ณ ประเทศยูโกสลาเวีย ด้วยทุนประเภท 2 นั้น โจทก์มิได้จัดให้จำเลยทำสัญญาฝึกอบรมไว้ตามระเบียบว่าด้วยการให้ข้าราชการไปศึกษาฝึกอบรมและดูงาน ณ ต่างประเทศ พ.ศ.2512 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ภายหลังเมื่อจำเลยสำเร็จการศึกษาหรือฝึกอบรมแล้ว จำเลยกลับมาเข้ารับราชการตามปกติ ต่อมาจำเลยขอลาออกจากราชการ ซึ่งโจทก์อนุญาตให้จำเลยลาออกจากราชการได้ แต่จำเลยยังคงเหลือกำหนดเวลาที่ต้องปฏิบัติราชการชดใช้ตามสัญญาลาศึกษาต่อภายในประเทศอีก 10 เดือน 23 วัน จำเลยและผู้ค้ำประกันจึงชดใช้เงินแก่ทางราชการที่จะต้องชดใช้ตามสัญญาลาศึกษาต่อภายในประเทศจนครบถ้วนแล้ว ส่วนการลาฝึกอบรม ณ ประเทศญี่ปุ่นและลาฝึกอบรม ณ ประเทศยูโกสลาเวียนั้น ตามระเบียบว่าด้วยการให้ข้าราชการไปศึกษาฝึกอบรมและดูงาน ณ ต่างประเทศ พ.ศ.2512 ข้อ 8 และที่แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ.2518 กำหนดให้กระทรวงทบวงกรมทำสัญญาผูกมัดให้ข้าราชการที่ไปศึกษาฝึกอบรมหรือปฏิบัติงานวิจัย ณ ต่างประเทศ กลับมารับราชการตามแผนงานหรือโครงการที่ทางราชการกำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองเท่าของเวลาที่ข้าราชการผู้นั้นได้รับเงินเดือนระหว่างศึกษาฝึกอบรม หรือปฏิบัติงานวิจัย แต่เนื่องจากจำเลยยังปฏิบัติราชการชดใช้ไม่ครบกำหนดเวลาตามสัญญาลาศึกษาต่อภายในประเทศ จึงไม่มีเวลาปฏิบัติราชการชดใช้เหลืออยู่นั้น คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดชดใช้เงินทุน เงินเดือน และเงินเพิ่มช่วยค่าครองชีพที่ได้รับไปในระหว่างลาฝึกอบรม ณ ประเทศญี่ปุ่นและประเทศยูโกสลาเวียพร้อมกับเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า นอกจากโจทก์และจำเลยจะต้องปฏิบัติต่อกันให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบแผนต่างๆ อันเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับเรื่องทุนแล้วโจทก์และจำเลยยังมีสิทธิและหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อกันให้เป็นไปตามกฎระเบียบตามเอกสารหมาย จ.3 อีกส่วนหนึ่งอย่างเคร่งครัดด้วย เพราะว่าเอกสารหมาย จ.3 นี้เป็นกฎระเบียบที่ประกาศใช้บังคับแก่ผู้ให้ทุนและผู้ได้รับทุนของทางราชการจากรัฐบาลให้จำต้องปฏิบัติตาม ตามข้อ 2 ของระเบียบดังกล่าวนั้น ระบุว่าให้ใช้บังคับแก่กระทรวงทบวงกรมฝ่ายพลเรือนเมื่อตามระเบียบเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 8 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้โจทก์ต้องทำหนังสือสัญญาผูกมัดและกำหนดให้จำเลยต้องกลับมาปฏิบัติงานชดใช้เวลาหรือเงินทุนและเงินต่างๆ แก่โจทก์ ในกรณีที่จำเลยได้รับทุนจากโจทก์ตามที่ทางราชการโจทก์กำหนดไว้ ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงกรณีตามที่จำเลยได้รับทุนตามฟ้องแล้วโจทก์ไม่ได้ทำหนังสือสัญญาผูกมัดจำเลยเป็นลายลักษณ์อักษรตามแบบและวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้แล้ว โจทก์จึงไม่อาจกล่าวอ้างว่าจำเลยยังรับราชการไม่ครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาในการลาไปฝึกอบรม ณ ต่างประเทศได้ นอกจากนี้ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อจำเลยขออนุญาตลาออกจากราชการกับโจทก์ โจทก์ก็ได้อนุมัติโดยไม่ปรากฏข้อโต้แย้งใดๆ จากโจทก์เลย ฉะนั้น ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังกล่าวมา โจทก์จึงไม่มีสิทธิใดๆ เรียกร้องให้จำเลยชดใช้เงินทุนและเงินต่างๆ ตามฟ้องให้แก่โจทก์
ส่วนปัญหาตามฎีกาของโจทก์ข้อสุดท้ายว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลยในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เป็นจำนวนสูงเกินไปนั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ได้ให้เหตุผลมาโดยละเอียดแล้วว่า เหตุใดโจทก์จึงต้องชดใช้ค่าทนายความในอัตราดังกล่าวนั้น ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า เป็นการกำหนดให้โจทก์ต้องรับผิดใช้ค่าทนายความในอัตราที่เหมาะสมแล้ว ไม่มีเหตุสมควรที่จะแก้ไข ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share