แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้จำเลยจะเป็นบุตรของผู้ร้องและอาศัยอยู่บ้านเดียวกันแต่จำเลยก็มีครอบครัวแล้ว การที่จำเลยซึ่งเป็นบุตรถือวิสาสะนำรถยนต์ของผู้ร้องซึ่งเป็นมารดาไปทำการค้าบรรทุกผักแล้วเกิดความคิดซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนไว้ในรถยนต์เอากลับมาบ้านจนเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นยึดไว้ได้นั้นไม่ปรากฏพฤติการณ์ชี้ชัดว่าผู้ร้องเคยทราบว่าจำเลยมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาก่อน ผู้ร้องจึงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการที่จำเลยนำเอารถยนต์ของผู้ร้องไปใช้ในการกระทำความผิด ต้องคืนรถยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้อง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสามลงโทษจำคุกจำเลย 7 ปี 9 เดือน และสั่งให้ริบเมทแอมเฟตามีนรถยนต์และเงินสด 80,000 บาท ซึ่งเป็นของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์และเงินสด80,000 บาท ของกลางที่ถูกริบ ผู้ร้องไม่รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้ศาลมีคำสั่งคืนรถยนต์และเงินสด80,000 บาท ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า รถยนต์และเงินสด 80,000 บาทเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดและได้มาจากการกระทำความผิดและผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า รถยนต์ของกลางเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามสำเนารายการจดทะเบียนเอกสารหมาย ร.2 และจำเลยเป็นบุตรของผู้ร้อง คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า เงินสด80,000 บาท กับรถยนต์ของกลางที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ริบนั้นผู้ร้องขอคืนทรัพย์ของกลางดังกล่าวได้หรือไม่
ปัญหาต่อไปมีว่า ผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่ในการที่จำเลยนำรถยนต์ของกลางซึ่งเป็นของผู้ร้องไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ในข้อนี้ผู้ร้องเบิกความว่า กุญแจรถยนต์ของกลางจะแขวนไว้ในบ้าน บุตรทุกคนสามารถนำไปใช้ได้จำเลยช่วยเหลือทำมาหากินด้วยดี ผู้ร้องไม่เคยทราบข่าวว่าจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและผู้ร้องไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด จากคำเบิกความของผู้ร้องเมื่อพิเคราะห์ประกอบคำให้การของจำเลยที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.4ซึ่งได้ให้การว่า เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2540 จำเลยได้ขับรถยนต์ของกลางซึ่งเป็นของผู้ร้องไปรับผักกาดขาวที่อำเภอแม่สอดเพื่อไปส่งที่จังหวัดราชบุรี ครั้นจำเลยไปถึงอำเภอแม่สอดรับผักแล้ว ในระหว่างนั้นจำเลยเกิดความคิดขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากชาวกะเหรี่ยง และชาวพม่า โดยซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจำนวน10 ถุง ถุงละ 200 เม็ด ในราคาถุงละ 6,000 บาท และได้เอาเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนไว้ในช่องระบายอากาศในรถยนต์ของกลางเมื่อกลับมาถึงบ้านไม่มีผู้ใดทราบหรือรู้เห็นแต่อย่างใดและได้ทยอยขายที่ตำบลจรเข้สามพัน เมื่อขายได้ก็นำเงินมารวมเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า เก็บรวบรวมไว้ได้ประมาณ 80,000 บาทจนกระทั่งวันเกิดเหตุมีเจ้าพนักงานตำรวจมา ตรวจ ค้นและยึดเอาไปเป็นของกลาง และตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนที่ยังเหลืออยู่อีก 6 ถุงจำนวน 1,170 เม็ด ที่ซุกซ่อนอยู่ในรถยนต์ของกลาง คำให้การของจำเลยดังกล่าวกล่าวรายละเอียดตามลำดับประกอบด้วยเหตุผลเพราะโดยวิสัยผู้กระทำความผิดย่อมจะต้องการปกปิดซ่อนเร้นไว้อย่างมิดชิด โดยการไปรับผักก็เป็นการประกอบอาชีพค้าขายตามปกติดั่งที่ผู้ร้องเบิกความสอดคล้องกันว่าจำเลยช่วยเหลือทำมาหากินด้วยดี นายชุม แสงภักดี ผู้ใหญ่บ้านในท้องที่ที่เกิดเหตุคดีนี้ยังเบิกความว่ารู้จักคุ้นเคยผู้ร้องและครอบครัว ไม่เคยทราบถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษน่าจะมีน้ำหนักรับฟังได้ นอกจากนี้ยังได้ความจากร้อยตำรวจเอกพิศาลหงษ์เวียงจันทร์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนผู้สอบสวนคดีนี้ได้เบิกความตอบคำถามค้านของทนายผู้ร้องแสดงความสุจริตใจของผู้ร้องว่า ในวันที่จับกุมจำเลยมาถึงสถานีตำรวจ ปรากฏว่ามีผู้ร้องมาแจ้งต่อพยานว่าผู้ร้องไม่รู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยกระทำความผิดและไม่เคยทราบเรื่องมาก่อน ศาลฎีกาเห็นว่าแม้จำเลยจะเป็นบุตรของผู้ร้องและอาศัยอยู่บ้านเดียวกันแต่ก็ปรากฏว่าจำเลยมีครอบครัวแล้ว การที่จำเลยซึ่งเป็นบุตรถือวิสาสะนำรถยนต์ของมารดาไปทำการค้าบรรทุกผัก แล้วเกิดความคิดซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนไว้ในรถยนต์กลับมาและเพิ่งถูกเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นยึดเมทแอมเฟตามีนได้ที่บ้านโดยไม่ปรากฏมีพฤติการณ์ชี้ชัดว่าผู้ร้องเคยทราบว่าจำเลยมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาก่อน ดังนี้ ข้อเท็จจริงมีเหตุผลเชื่อได้ว่า ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการที่จำเลยนำเอารถยนต์ของกลางซึ่งเป็นของผู้ร้องไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษในคดีนี้กรณีจึงต้องคืนรถยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้อง ฎีกาส่วนนี้ของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้องนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3