แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำบรรยายฟ้องโจทก์ฐานฉ้อโกงประชาชน แม้จะมีข้อความ ว่าจำเลยทั้งสองกับพวกไม่สามารถจัดให้คนหางานได้ทำงาน ในต่างประเทศโดยได้รับค่าจ้างตามที่จำเลยทั้งสองกับพวกกล่าวอ้าง แต่ก็ไม่มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองกับพวกไม่มีเจตนาประกอบธุรกิจจัดหางานตามที่บรรยายไว้ในข้อหาฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยทั้งสองตามฟ้องจึงเป็นความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้จำเลยทั้งสองจะให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง,82และยกฟ้องโจทก์ในข้อหาดังกล่าวนั้น จึงเป็นการไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2532 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2533 เวลากลางวันติดต่อกันจำเลยทั้งสองกับพวกซึ่งหลบหนีได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันจัดหางานให้แก่คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ โดยเรียกและรับค่าบริการเป็นเงินตอบแทนจากคนหางาน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง และจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงประชาชนทั่วไปรวมทั้งนายคำปุ่น ยวดดี นายประสิทธิ์ บุญเกตุนายสมควร ทองแถม และนายสมคิดหรือนิคม หอมเนตร ผู้เสียหายว่าจำเลยทั้งสองกับพวกสามารถจัดส่งคนงานไปประเทศสิงคโปร์ได้เมื่อสมัครและเสียค่าบริการตามจำนวนที่จำเลยทั้งสองกับพวกกำหนด โดยคนงานจะได้รับค่าจ้างตอบแทนจากนายจ้างเป็นเงินจำนวนสูง ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงจำเลยทั้งสองกับพวกเพียงแต่นำคนหางานไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ได้ แต่ไม่สามารถจัดให้คนหางานได้ทำงานโดยได้รับค่าจ้างตอบแทนตามที่จำเลยทั้งสองกับพวกกล่าวอ้างแต่อย่างใด หากแต่กล่าวอ้างด้วยวิธีการดังกล่าวเพื่อให้ประชาชนทั่วไปหลงเชื่อมาสมัครงานและจ่ายเงินให้แก่จำเลยทั้งสองกับพวก การกระทำดังกล่าวทำให้ผู้เสียหายทั้งสี่หลงเชื่อจึงมอบเงินให้แก่จำเลยทั้งสองกับพวกไปโดยนายคำปุ่น จ่ายเงิน 39,000 บาท นายประสิทธิ์จ่ายเงิน 50,000 บาท นายสมควรและนายสมคิดหรือนิคมจ่ายเงินคนละ 45,000 บาท รวมเป็นเงิน 179,000 บาท แล้วจำเลยทั้งสองกับพวกนำเงินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต เหตุเกิดที่ตำบลใดไม่ปรากฏชัด อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคายตำบลบ้านโคก อำเภอสร้างคอม และตำบลหมากแข้งอำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 341, 343 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30, 82 และสั่งให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินรวม 179,000 บาทแก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 341, 343 (ที่ถูกไม่ต้องปรับบทมาตรา 341) พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ. 2528 มาตรา 30 (ที่ถูกมาตรา 30 วรรคหนึ่ง), 82เรียงกระทงลงโทษ ฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ3 ปี และปรับคนละ 60,000 บาท ฐานฉ้อโกงประชาชนจำคุกคนละ1 ปี และปรับคนละ 10,000 บาท รวมจำคุกคนละ 4 ปี และปรับคนละ70,000 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 2 ปี และปรับคนละ35,000 บาท จำเลยทั้งสองไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้คนละ 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 สำหรับคำขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหาย ปรากฏตามคำแถลงของผู้เสียหายว่าได้รับเงินคืนครบถ้วนแล้ว จึงให้ยกคำขอส่วนนี้
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528คงลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 341, 343 ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี และปรับคนละ 10,000 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้คนละ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ตามฟ้องโจทก์บรรยายถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดทั้งสองฐานแยกกันมากล่าวคือฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต โจทก์บรรยายในข้อ ก. ว่า จำเลยทั้งสองบังอาจร่วมกันประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนหางานเพื่อไปทำงานต่างประเทศโดยเรียกและรับค่าบริการเป็นเงินตอบแทนจากคนหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง และฐานฉ้อโกงประชาชน โจทก์บรรยายในข้อ ข. ว่าจำเลยทั้งสองกับพวกดังกล่าวได้บังอาจร่วมกันหลอกลวงประชาชนทั่วไป รวมทั้งผู้เสียหายทั้งสี่ว่า จำเลยทั้งสองกับพวกดังกล่าวสามารถจัดส่งคนหางานไปทำงานยังประเทศสิงคโปร์ได้เมื่อสมัครและเสียค่าบริการสมัครไปทำงานตามจำนวนที่จำเลยทั้งสองกับพวกกำหนดไว้ โดยคนหางานจะได้รับค่าจ้างตอบแทนจากนายจ้างเป็นเงินจำนวนสูงซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงแล้วจำเลยทั้งสองกับพวกเพียงแต่นำคนหางานไปประเทศสิงคโปร์ได้ แต่ไม่สามารถจัดให้คนหางานได้ทำงานโดยได้รับค่าจ้างตอบแทนตามที่จำเลยทั้งสองกับพวกกล่าวอ้าง การกล่าวอ้างดังกล่าวก็เพื่อให้ประชาชนทั่วไปหลงเชื่อมาสมัครงานและจ่ายเงินให้แก่จำเลยทั้งสอง และด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จของจำเลยทั้งสองกับพวกดังกล่าวทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและมอบเงินจำนวนตามฟ้องให้จำเลยทั้งสองกับพวกไป แล้วจำเลยทั้งสองกับพวกนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต เห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องโจทก์ข้อ ข. แม้จะมีข้อความว่าจำเลยทั้งสองกับพวกไม่สามารถจัดให้คนหางานได้ทำงานในต่างประเทศโดยได้รับค่าจ้างตามที่จำเลยทั้งสองกับพวกกล่าวอ้าง แต่ก็ไม่มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่า จำเลยทั้งสองกับพวกไม่มีเจตนาประกอบธุรกิจจัดหางานตามที่บรรยายไว้ในข้อ ก. การกระทำของจำเลยทั้งสองตามฟ้องจึงเป็นความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า แม้จำเลยทั้งสองจะให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30 (ที่ถูกมาตรา 30 วรรคหนึ่ง) 82 และยกฟ้องโจทก์ในข้อหาดังกล่าวนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น