แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยก่อสร้างอาคารชิดที่ดินของโจทก์โดยประมาทเลินเล่อซึ่งนอกจากทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของโจทก์แล้วยังทำให้โจทก์เสียหายแก่ร่างกายและอนามัย โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินที่โจทก์ต้องทุกข์ทรมานจิตใจอันเนื่องมาจากการตอกเสาเข็ม วัสดุก่อสร้างและฝุ่นละอองร่วงหล่นเข้ามาในบริเวณที่ดินและบ้านโจทก์ได้และไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนที่ไกลเกินเหตุ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420,446
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 22, 13, 11/1 และ 18 จำเลยทั้งสองเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารตึก 7 ชั้น ชื่อยุวรัตน์แมนชั่น เมื่อประมาณเดือนเมษายน 2534 จำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ให้ทำการก่อสร้างอาคารดังกล่าวชิดติดกับที่ดินของโจทก์ทั้งสี่จำเลยทั้งสองทำการก่อสร้างด้วยความประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังกล่าวคือ จำเลยที่ 2 ตอกเสาเข็มลงบนดินจนก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณทำให้ส่วนต่าง ๆของตัวบ้านโจทก์ทั้งสี่แตกร้าวหลังจากนั้นจำเลยทั้งสองร่วมกันก่อสร้างอาคารตึก 7 ชั้น โดยบุกรุกเข้ามาทำรั้วในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ และก่อสร้างอาคารโดยไม่มีเครื่องมือสำหรับผิดกั้นกำบัง ทำให้เศษวัสดุก่อสร้าง เช่น อิฐ หิน ปูน กรวดทราบ ไม้ และฝุ่นละอองต่าง ๆ ร่วงหล่นลงมาในบริเวณบ้านและที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินและโจทก์ทั้งสี่ต้องทนทุกข์ทรมานจิตใจเป็นเวลานานทรัพย์สินของโจทก์ที่ 1 เสียหายเป็นเงิน 150,000 บาทโจทก์ที่ 1 และครอบครัวต้องทนทุกข์ทรมานจิตใจ คิดเป็นค่าเสียหาย 250,000 บาท ทรัพย์สินของโจทก์ที่ 2 เสียหายเป็นเงิน 150,000 บาท โจทก์ที่ 2 และครอบครัวต้องทนทุกข์ทรมานจิตใจคิดเป็นค่าเสียหาย 400,000 บาท ทรัพย์สินของโจทก์ที่ 3เสียหายเป็นเงิน 100,000 บาท โจทก์ที่ 3 และครอบครัวต้องทนทุกข์ทรมานจิตใจ คิดเป็นค่าเสียหาย 300,000 บาท และทรัพย์สินของโจทก์ที่ 4 เสียหายเป็นเงิน 100,000 บาทโจทก์ที่ 4 และครอบครัวต้องทนทุกข์ทรมานจิตใจ คิดเป็นค่าเสียหาย 400,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 400,000 บาทโจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 550,000 บาท โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน400,000 บาท และโจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 500,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ได้รับความเสียหายจากการตอกเสาเข็มจริง แต่ไม่มากตามฟ้องโจทก์ที่ 1 เสียหาย 52,000 บาท โจทก์ที่ 2 เสียหาย1,000 บาท และโจทก์ที่ 3 เสียหาย 2,000 บาท ส่วนโจทก์ที่ 4ไม่เสียหาย โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเดือดร้อนรำคาญบ้างเป็นบางครั้งเนื่องจากลมพัดแรงทำให้ผ้าใบที่ปิดกั้นฉีกขาด ฝุ่นละอองและเศษวัสดุก่อสร้างจึงร่วงหล่นลงมาบ้างก็เป็นธรรมดา ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตจำกัดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยอ้างว่า ถ้าหากศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 แพ้คดีจำเลยที่ 1 อาจใช้สิทธิไล่เบี้ยบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด ได้ ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า ค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสี่ไม่มากตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ จำเลยร่วมชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 175,000 บาทโจทก์ที่ 2 จำนวน 170,000 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 150,000 บาทโจทก์ที่ 4 จำนวน 143,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 1 เมษายน 2535) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จทั้งนี้ให้จำเลยร่วมร่วมรับผิดต่อโจทก์ทั้งสี่ภายในวงเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2และจำเลยร่วมชำระเงินค่าเสียหายในส่วนที่เกี่ยวกับความเจ็บป่วยเดือดร้อนให้แก่โจทก์ทั้งสี่คนละ 50,000 บาทค่าเสียหายส่วนอื่นนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสี่ต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวของโจทก์แต่ละคนฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดฐานละเมิดมาในคำฟ้องเดียวกัน ซึ่งไม่ใช่เป็นหนี้ร่วมที่ไม่อาจจะแบ่งแยกได้เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าเสียหายในส่วนที่เกี่ยวกับความเจ็บป่วยเดือดร้อนให้แก่โจทก์ทั้งสี่คนละ 50,000 บาท ค่าเสียหายอื่นนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฉะนั้น ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีการะหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์แต่ละคนจึงไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริงและสูงเกินไปเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายมาตราดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้และที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า การที่จำเลยที่ 2 ก่อสร้างอาคารทำให้โจทก์ทั้งสี่หรือผู้อยู่ในครอบครัวของโจทก์ทั้งสี่ทุกข์ทรมานจิตใจนั้น ไม่มีกฎหมายกำหนดให้โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้ เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 2 กระทำโดยประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ทั้งสี่เสียหายแก่ร่างกายและอนามัยโจทก์ทั้งสี่ย่อมมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน อันได้แก่ค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งสี่ต้องทุกข์ทรมานจิตใจจากจำเลยที่ 2 ได้และไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนที่ไกลเกินเหตุ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420, 446 วรรคหนึ่งฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน