คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 611/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ข้อตกลงตามสัญญาซื้อขายฝ้ายดิบที่ว่าหากมีกรณีพิพาทตามสัญญาซื้อขายเกิดขึ้น จะต้องเสนอคดีต่ออนุญาโตตุลาการตามระเบียบและกฎข้อบังคับของเดอะริเวอร์พูลคอตต้อนแอสโซซิเอชั่นลิมิเตดเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาซื้อขาย เมื่อจำเลยมิได้ทำสัญญาซื้อขายฝ้ายดิบกับโจทก์ โจทก์จึงไม่อาจนำคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการมาฟ้องบังคับให้จำเลยต้องปฏิบัติตามนั้นได้ ฟ้องโจทก์มีคำขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนอกศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 221 แม้โจทก์จะระบุฐานความผิดในฟ้องว่าผิดสัญญาทางแพ่ง และบรรยายฟ้องเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายมาด้วย แต่โจทก์ก็มิได้ขอให้บังคับจำเลยตามสัญญาซื้อขาย ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 ข้อ (1)(ข)ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในอัตราหนึ่งบาทต่อทุกหนึ่งร้อยบาทตามจำนวนที่อนุญาโตตุลาการกำหนดไว้ในคำชี้ขาดแต่ไม่ให้เกินแปดหมื่นบาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดแอลเล็นเบอร์ก คอตต้อน คอมปะนี ต่อไปในคำฟ้องจะเรียกว่าแอลเล็นเบอร์กเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดในเครือของโจทก์โจทก์ได้ควบแอลเล็นเบอร์กเข้าด้วยกันกับโจทก์ จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายฝ้ายดิบกับแอลเล็นเบอร์ก รวม 7 ฉบับ โดยสัญญาซื้อขายดังกล่าวมีตัวแทนของจำเลยลงลายมือชื่อและประทับตราไว้เป็นหลักฐาน ต่อมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2528 อันเป็นเวลาที่กำหนดส่งสินค้าตามสัญญาบางฉบับได้ล่วงพ้นไปแล้ว แต่จำเลยมิได้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่แอลเล็นเบอร์ก แอลเล็นเบอร์กจึงแจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา จำเลยเพิกเฉยแอลเล็นเบอร์กจึงเสนอกรณีพิพาทตามสัญญาทั้ง 7 ฉบับ ต่ออนุญาโตตุลาการ อนุญาโตตุลาการได้มีคำตัดสินชี้ขาดว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยรวมทั้งค่าธรรมเนียม ค่าทำคำชี้ขาดและค่าใช้จ่ายของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งแอลเล็นเบอร์กได้จ่ายให้แก่อนุญาโตตุลาการไปแล้ว แอลเล็นเบอร์กและโจทก์ได้ติดตามทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน12,002,865.37 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญาซื้อฝ้ายดิบรวม7 ฉบับ ตามฟ้องกับแอลเล็นเบอร์ก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นตามที่โจทก์นำสืบโดยจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่าโจทก์ จำเลยและแอลเล็นเบอร์กเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดโดยโจทก์และแอลเล็นเบอร์กตั้งขึ้นตามกฎหมายของรัฐนิวยอร์คและรัฐเทนเนสซี่ ประเทศสหรัฐอเมริกาตามลำดับ เมื่อเดือนมกราคม ถึงเดือนกรกฎาคม 2527 แอลเล็นเบอร์กได้ทำสัญญาขายฝ้ายดิบให้แก่ผู้ซื้อในประเทศไทยโดยมีนายสุรศักดิ์ ภิญญาวัธน์ลงนามในสัญญาเป็นชื่อภาษาอังกฤษ อ่านว่าเอส ภิญญาวัธน์และประทับตราว่าบริษัทพิพัฒนกิจเท็กซ์ไทล์ จำกัด ซึ่งเป็นชื่อของจำเลยรวม 7 ฉบับ ต่อมาผู้ซื้อมิได้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่แอลเล็นเบอร์กตามสัญญาจนเลยกำหนดการส่งสินค้าไปแล้วแอลเล็นเบอร์กได้มีหนังสือเตือนมายังผู้ซื้อ แต่ผู้ซื้อไม่ติดต่อกับแอลเล็นเบอร์ก แอลเล็นเบอร์กจึงเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการ ณ เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ วินิจฉัยชี้ขาดตามข้อตกลงของสัญญาซื้อขายดังกล่าว ต่อมาอนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัยชี้ขาดให้ผู้ซื้อชดใช้ค่าเสียหายและค่าธรรมเนียมกับค่าใช้จ่ายของอนุญาโตตุลาการให้แก่แอลเล็นเบอร์ก แอลเล็นเบอร์กได้ทดรองจ่ายค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของอนุญาโตตุลาการไปแล้วต่อมาเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2529 โจทก์ได้ควบแอลเล็นเบอร์กมาเป็นของโจทก์ และดำเนินคดีแก่จำเลยเป็นคดีนี้ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกมีว่า นายสุรศักดิ์ ทำสัญญาซื้อขายทั้ง 7 ฉบับ กับแอลเล็นเบอร์กแทนจำเลยหรือไม่เห็นว่าตามพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาไม่มีหลักฐานใดเลยที่แสดงว่าจำเลยได้มอบอำนาจให้นายสุรศักดิ์ทำสัญญาทั้ง 7 ฉบับแทนจำเลยเมื่อนายสุรศักดิ์ไม่ได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อแทนจำเลย ส่วนตราประทับในสัญญาซื้อขายนั้นนางกฤษณา นาสิมมานายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครก็เบิกความว่ามิใช่ตราประทับของจำเลยที่จดทะเบียนเป็นหลักฐานไว้ที่สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร จึงฟังข้อเท็จจริงไม่ได้ว่านายสุรศักดิ์ทำสัญญาซื้อขายทั้ง 7 ฉบับแทนจำเลย ส่วนในปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่า นายสุรศักดิ์เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยโดยโจทก์อ้างว่า นายสุรศักดิ์เป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของบริษัทจำเลยทั้งยังเป็นบุคคลในสกุลภิญญาวัธน์และมีภูมิลำเนาเดียวกับนายบุญชัย ภิญญาวัธน์ และนายประทีป ภิญญาวัธน์ กรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อแทนจำเลยที่บ้านเลขที่ 45-45/1 ถนนสุขุมวิท 53แขวงพระโขนง เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ปรากฏตามบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นเอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 21 และ 23 การทำสัญญาซื้อขายของนายสุรศักดิ์ก็อยู่ในวัตถุประสงค์ของจำเลย นอกจากนี้ยังมีพฤติการณ์อีกว่า ก่อนมีกรณีพิพาทคดีนี้ จำเลยได้ให้นายสุรศักดิ์ทำสัญญาซื้อฝ้ายดิบจากแอลเล็นเบอร์กมาก่อนตามเอกสารหมาย จ.20 ในการซื้อขายครั้งนี้จำเลยได้ขอให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้จำเลยดังปรากฏตามหนังสือของธนาคารกรุงเทพ จำกัด ซึ่งเป็นโทรพิมพ์แจ้งไปยังธนาคารบอสตัน เนชั่นแนลเซ้าท์ ตามเอกสารหมาย จ.22 และธนาคารดังกล่าวนี้ได้โอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ธนาคารคอมเมิร์สยูเนียน เมมฟิส ไปแล้วตามเอกสารหมาย จ.23หากจำเลยไม่ขอให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แล้ว แอลเล็นเบอร์ก จะไม่ทำสัญญาซื้อขายทั้ง 7 ฉบับอีกนั้นเห็นว่า ตามบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยตามเอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 21 และ 23 ปรากฏแต่เพียงว่านายบุญชัยและนายประทีปมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 45/1 ด้วยกันเท่านั้นส่วนนายสุรศักดิ์มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 3783 ถนนสมเด็จเจ้าพระยา แขวงคลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพมหานครมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ที่เดียวกันดังที่โจทก์อ้าง ส่วนการที่นายสุรศักดิ์เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยและอยู่ในสกุลเดียวกันกับนายบุญชัยและ นายประทีปซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจำเลย ก็หาได้เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่า การกระทำของบุคคลใดหากเกี่ยวข้องกับจำเลยแล้วบุคคลทั้งสามจะต้องร่วมกันรู้เห็นทุกเรื่องไป กรณีอาจจะเป็นได้ว่านายสุรศักดิ์ได้แอบอ้างเอาชื่อของจำเลยไปใช้ในทางหนึ่งทางใดโดยไม่บอกให้นายบุญชัยและนายประทีปทราบก็ได้ จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบพยานหลักฐานมาให้ได้ความจริงว่า นายบุญชัยและนายประทีปได้รู้ถึงการกระทำของนายสุรศักดิ์ที่แอบอ้างเอาชื่อของจำเลยไปใช้โดยนายบุญชัยและนายประทีปทราบแล้วยอมให้นายสุรศักดิ์กระทำการไปโดยไม่มีการทักท้วงขัดขวาง เมื่อโจทก์ไม่นำสืบพยานหลักฐานถึงความข้อนี้ จึงฟังไม่ได้ว่า นายบุญชัยและนายประทีปรู้เห็นยินยอมให้นายสุรศักดิ์เชิดตนเองแสดงออกเป็นตัวแทนของจำเลยส่วนที่โจทก์อ้างว่า มีพฤติการณ์ของจำเลยมาก่อนว่าจำเลยได้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่แอลเล็นเบอร์กตามสัญญาซื้อขายที่นายสุรศักดิ์ทำกับแอลเล็นเบอร์กเอกสารหมาย จ.20โดยโจทก์อ้างโทรพิมพ์ตามเอกสารหมาย จ.22 ซึ่งมีข้อความว่าบริษัทจำเลยเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แอลเล็นเบอร์กมานั้นเห็นว่า สัญญาซื้อขายตามเอกสารหมาย จ.20 มีแต่นายสุรศักดิ์ผู้เดียวลงนาม สำหรับเอกสารหมาย จ.22 ซึ่งเป็นโทรพิมพ์นั้นก็เป็นเอกสารที่ถ่ายมาจากต้นฉบับ โจทก์ไม่มีพยานบุคคลใดที่เกี่ยวข้องในการทำเอกสารดังกล่าวมาสืบประกอบเลยว่า ข้อความในเอกสารดังกล่าวนั้นทำขึ้นมาอย่างไร เมื่อจำเลยไม่รับรองเอกสารดังกล่าวทั้งยังนำสืบปฏิเสธว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้ขอให้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตตามเอกสารนั้น จึงไม่อาจจะเชื่อถือข้อความในเอกสารดังกล่าวว่าเป็นความจริงได้ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังไม่เพียงพอที่จะรับฟังพฤติการณ์ของจำเลยได้ว่าจำเลยได้เชิดให้นายสุรศักดิ์เป็นตัวแทนของจำเลย หรือรู้แล้วยอมให้นายสุรศักดิ์เชิดตนเองแสดงออกเป็นตัวแทนของจำเลยจำเลยจึงหาจำต้องรับผิดตามสัญญาซื้อขายทั้ง 7 ฉบับแต่อย่างใดไม่ดังนั้นเมื่อข้อตกลงที่ว่าหากมีกรณีพิพาทตามสัญญาเกิดขึ้นจะต้องเสนอคดีต่ออนุญาโตตุลาการตามระเบียบและกฎข้อบังคับของเดอะ ริเวอร์พูล คอตต้อน แอสโซซิเอชั่น ลิมิเตต เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาซื้อขายดังกล่าว จึงหาผูกพันจำเลยไม่เช่นกัน โจทก์จึงไม่อาจนำคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการมาฟ้องบังคับให้จำเลยต้องปฏิบัติตามได้ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะต้องพิจารณาตามฎีกาของโจทก์เป็นประการสุดท้ายคงเหลืออยู่ว่า ที่ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลจากโจทก์จำนวน200,000 บาท เป็นการเรียกค่าขึ้นศาลเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดและที่ศาลอุทธรณ์ไม่คืนส่วนที่เกินให้แก่โจทก์ชอบหรือไม่ เห็นว่าฟ้องโจทก์มีคำขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนอกศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 221 แม้โจทก์จะระบุฐานความผิดในฟ้องว่าผิดสัญญาทางแพ่งและบรรยายฟ้องเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายมาด้วย แต่โจทก์ก็มิได้ขอให้บังคับจำเลยตามสัญญาซื้อขาย ดังนี้ โจทก์จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1ข้อ (1) (ข) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งกำหนดว่าคำฟ้องขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการตามมาตรา 221ให้เรียกโดยอัตราหนึ่งบาทต่อทุกหนึ่งร้อยบาท ตามจำนวนที่อนุญาโตตุลาการกำหนดไว้ในคำชี้ขาด แต่ไม่ให้เกินแปดหมื่นบาทศาลชั้นต้นจึงเรียกค่าขึ้นศาลจากโจทก์เกินมาจำนวน 120,000 บาทเงินค่าขึ้นศาลที่เกินมาดังกล่าวนี้จึงต้องคืนให้แก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้โจทก์รับคืนไป ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นจำนวน120,000 บาท แก่โจทก์ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share