แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ในคดีก่อนร่วมกันรับผิดกับจำเลยอื่นในฐานที่จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันและจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินดังกล่าวและที่ดินจำนองของจำเลยอื่นออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามในคดีก่อนชำระจนครบถ้วนคดีถึงที่สุดแล้ว ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำนองที่ดินอีกแปลงหนึ่งที่จำเลยจำนองเป็นประกันเพิ่มหลักทรพัยืให้แก่โจทก์ โดยมีคำขอบังคับว่าหากจำเลยไม่ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองตามคำพิพากษาในคดีก่อน ขอให้บังคับจำนองที่ดินในคดีนี้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาในคดีก่อน เมื่อที่ดินที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำนองเป็นคนละแปลงกัน แม้จำเลยจะจดทะเบียนจำนองเป็นการประกันหนี้รายเดียวกัน แต่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ที่ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับผิดคดีนี้กับคดีก่อนมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยแตกต่างกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เดิมใช้ชื่อบริษัทบริหารสินทรัพย์ธนบุรี จำกัด เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2542 ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ได้โอนสิทธิและหน้าที่รวมทั้งหลักประกันทั้งหลายที่มีอยู่กับจำเลยในคดีนี้ทั้งหมดให้แก่โจทก์ตามนโยบายการแก้ไขสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของสถาบันการเงินตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เดิมบริษัทรุ่งเรืองนิเวศน์ จำกัด เป็นลูกหนี้ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขามหาพฤฒาราม โดยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินกับธนาคารดังกล่าว เป็นจำนวน 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย มีจำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 60775 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ประกันหนี้ดังกล่าวของบริษัทรุ่งเรืองนิเวศน์ จำกัด และต่อมาจำเลยได้เพิ่มจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 12981 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เฉพาะส่วนของจำเลยเพื่อประกันหนี้ที่ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 60775 ดังกล่าวแก่โจทก์ กับบริษัทเอกชัย โฮม เพลส จำกัด ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 99777 เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ของบริษัทรุ่งเรืองนิเวศน์ จำกัด ด้วย ต่อมาโจทก์ได้ยื่นฟ้องบริษัทรุ่งเรืองนิเวศน์ จำกัด จำเลย กับบริษัทเอกชัยโฮม เพลส จำกัด เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้น ให้ร่วมกันรับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนองดังกล่าวแก่โจทก์ โดยโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้บังคับจำนองเฉพาะแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 60775 มิได้ฟ้องบังคับจำนองแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 12981 ของจำเลยด้วย คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 60775 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 99777 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบตามคำพิพากษาคดีแพ่ง หมายเลขแดงที่ 1729/2545 แต่โจทก์ยังมิได้รับชำระหนี้ในคดีดังกล่าวและทรงสิทธิที่จะบังคับจำนองแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 12981 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ของจำเลยได้อีก โจทก์ได้บอกกล่าวให้บริษัทรุ่งเรืองนิเวศน์ จำกัด จำเลยกับบริษัทเอกชัย โฮม เพลส จำกัด ชำระหนี้แล้ว แต่เพิกเฉย ขอให้บังคับหากจำเลยไม่ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1729/2545 ขอให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 12981 ตำบลบางบอน อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง บนที่ดินที่จำเลยจดทะเบียนจำนองเป็นประกันเพิ่มหลักทรัพย์ไว้แก่โจทก์ออกขายทอดตลาด เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ดังกล่าว หากขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ ขอให้มีคำสั่งยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้มีประเด็นที่จำต้องวินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่าบริษัทรุ่งเรืองนิเวศน์จำกัด เป็นหนี้เงินกู้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด อันเป็นประเด็นสำคัญเดียวกันกับคดีก่อนตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1729/2545 ของศาลชั้นต้น ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมาย จึงงดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1729/2545 ของศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1729/2545 ของศาลชั้นต้น หรือไม่ เห็นว่า คดีก่อนอันถึงที่สุดแล้วนั้นโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ในคดีก่อนร่วมกันรับผิดกับบริษัทรุ่งเรืองนิเวศน์ จำกัด ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 กับจำเลยอื่นในคดีก่อนในฐานะที่จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันและจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 60775 ตำบลบางบอน อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ในคดีก่อน และคดีก่อนศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้จำเลยคดีนี้และจำเลยที่ 1 กับจำเลยอื่นในคดีก่อนร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินดังกล่าวและที่ดินจำนองของจำเลยอื่นออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามในคดีก่อนชำระจนครบถ้วนรายละเอียดปรากฏตามคำพิพากษาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 20 ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 12981 ตำบลบางบอน อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่จำเลยจำนองเป็นประกันเพิ่มหลักทรัพย์ให้แก่โจทก์ โดยมีคำขอบังคับว่าหากจำเลยไม่ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองตามคำพิพากษาในคดีก่อนขอให้บังคับจำนองที่ดินในคดีนี้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาในคดีก่อน หากขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ ขอให้มีคำสั่งยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ แต่เมื่อที่ดินที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำนองแก่จำเลยในคดีนี้กับคดีก่อนเป็นคนละแปลงกัน แม้จำเลยจะจดทะเบียนจำนองเพื่อเป็นการประกันหนี้ที่บริษัทรุ่งเรืองนิเวศน์ จำกัด จะต้องชำระแก่โจทก์รายเดียวกันก็ตาม แต่เมื่อข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ที่ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับผิดคดีนี้กับคดีก่อนมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยแตกต่างกันกล่าวคือ คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 12981 พร้อมสิ่งปลูกสร้างประกันหนี้ที่บริษัทรุ่งเรืองนิเวศน์ จำกัด จะต้องรับผิดชำระตามคำพิพากษาในคดีก่อนและโจทก์ยังมิได้รับชำระหรือไม่ ส่วนคดีก่อนมีประเด็นตามคำฟ้องของโจทก์ว่า จำเลยค้ำประกันและจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 60775 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ประกันหนี้ที่บริษัทรุ่งเรืองนิเวศน์ จำกัด จะต้องชำระแก่โจทก์ตามฟ้องและจำเลยจะต้องร่วมกับจำเลยอื่นในคดีก่อนรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ด้วยหรือไม่ กรณีจึงมิใช่เรื่องที่คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยมาแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอันจะต้องด้วยลักษณะเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ดังความเห็นของศาลชั้นต้น ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนอันถึงที่สุดหมายเลขแดงที่ 1729/2545 ของศาลชั้นต้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น เนื่องจากตามคำฟ้องและคำให้การมีประเด็นพิพาทอื่นที่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัย กรณีสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ต่อไปตามรูปคดี”
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาในประเด็นอื่นที่ยังมิได้วินิจฉัยต่อไป ค่าธรรมเนียมชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่