คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 423/2484

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้กู้จะนำพะยานบุคคลมาสืบว่าได้ชำระเงินให้ผู้ให้กู้บ้างแล้ว และผู้ให้กู้ได้ตกลงยกหนี้ให้ก่อนอุปสมบทแก่ผู้กู้แล้วโดยคืนหนังสือสัญญากู้ให้ย่อมนำสืบได้,โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามหนังสือสัญญากู้ จำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้กู้ เป็นแต่โจทก์เคยให้เซ็นชื่อให้ดังนี้ ถือว่าเป็นคำให้การปฏิเสธ เป็นหน้าที่โจทก์ต้องนำสืบก่อน.

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกต้นเงินที่จำเลยกู้กับดอกเบี้ยที่ค้าง จำเลยที่ ๑ ให้การว่าก่อนอุปสมบทได้กู้เงินโจทก์จริงแต่ผ่อนใช้ไปบ้างแล้ว ครั้นอุปสมบทได้ยกเลิกเงินที่ค้าง โจทก์กับภริยายอมยกหนี้ให้ ทั้งได้คืนสัญญากู้ให้และฉีกเสีย ระหว่างอุปสมบทจำเลยป่วยโจทก์ได้นำหนังสือไปให้เซ็น จำเลยก็เซ็นให้ไปโดยไม่รู้เรื่องอะไร ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธไม่รู้เรื่องในสัญญากู้ฉะบับที่โจทก์ฟ้อง ทราบแต่ฉะบับที่ก่อนอุปสมบทได้เสร็จสินไปแล้ว ก่อนสืบพะยาน โจทก์จำเลยเถียงกันในเรื่องหน้าที่นำสืบ ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์นำสืบก่อน เมื่อสืบพะยานโจทก์จำเลยแล้วศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่คำรับ เป็นคำให้การปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญากู้ตามที่โจทก์ฟ้องเรียก ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์มีหน้าที่สืบก่อนเป็นการชอบด้วยแล้ว ส่วนข้อที่โจทก์คัดค้านว่าจำเลยนำพะยานบุคคลมาสืบว่าได้ใช้เงินและโจทก์ยกหนี้ให้ตามสัญญากู้ก่อนอุปสมบทฟังไม่ได้ ไม่ชอบด้วยประมวลแพ่งฯ มาตรา ๖๕๓ วรรค ๒ นั้น เห้นว่าโจทก์ยกให้และโจทก์คืนหนังสือสัญญากู้ฉะบับนั้นให้แก่จำเลยแล้ว จึงไม่ขัดกับประมวลกฎหมายที่โจทก์อ้าง จึงพิพากษายืน

Share