คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6107/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ลักษณะการใช้อาวุธปืนของจำเลยในการกระทำความผิดจะไม่ตรงกับลักษณะของอาวุธปืนที่มีไว้เพื่อใช้ยิงโดยตรงก็ตามแต่ตามสภาพอาวุธปืนเป็นวัตถุแข็ง การที่จำเลยใช้อาวุธปืนกระแทกทำร้ายที่บริเวณหน้าอกของเด็กชาย ธ. โดยแรงเป็นเหตุให้เด็กชาย ธ. มีบาดแผลถลอกช้ำบวมที่บริเวณหน้าอก แม้บาดแผลดังกล่าวจะไม่ร้ายแรงเช่นเดียวกับการใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายก็ตาม แต่ก็เป็นบาดแผลที่เกิดจากการที่จำเลยใช้อาวุธปืนทำร้ายเด็กชาย ธ. โดยตรง จึงถือได้ว่าอาวุธปืนเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งให้ริบอาวุธปืนของกลางได้ ทั้งนี้ โดยไม่ต้องคำนึงว่าอาวุธปืนที่จำเลยใช้กระทำความผิดนั้นจะบรรจุกระสุนหรือไม่ เพราะมิใช่ผลโดยตรงที่จะเป็นเหตุให้เด็กชาย ธ. ได้รับบาดเจ็บ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 91, 295 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ ริบอาวุธปืนของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ลงโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 4,000บาท ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ลงโทษปรับ 2,000 บาท รวมจำคุก 1 ปี และปรับ 6,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก6 เดือน และปรับ 3,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้ง มีกำหนด 1 ปีไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ริบอาวุธปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ไม่ริบอาวุธปืนของกลาง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าไม่ริบอาวุธปืนของกลางนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาโจทก์ว่าสมควรริบอาวุธปืนของกลางหรือไม่ เห็นว่าแม้ลักษณะการใช้อาวุธปืนของจำเลยในการกระทำความผิดจะไม่ตรงกับลักษณะของอาวุธปืนที่มีไว้เพื่อใช้ยิงโดยตรง หรือจำเลยมิได้ใช้อาวุธปืนของกลางอย่างอาวุธปืนดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ก็ตาม แต่ตามสภาพอาวุธปืนของกลางเป็นวัตถุแข็งการที่จำเลยใช้อาวุธปืนของกลางกระแทกทำร้ายที่บริเวณหน้าอกของเด็กชายธราพงษ์โดยแรงเป็นเหตุให้เด็กชายธราพงษ์ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ มีบาดแผลถลอกช้ำบวมที่บริเวณหน้าอก ถือได้ว่าอาวุธปืนของกลางเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33(1) ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งให้ริบอาวุธปืนของกลางได้ดังนั้นแม้บาดแผลที่เด็กชายธราพงษ์ได้รับดังกล่าวจะไม่ร้ายแรงเช่นเดียวกับการใช้อาวุธยิงทำร้ายก็ตาม แต่บาดแผลดังกล่าวเกิดจากที่จำเลยใช้อาวุธปืนของกลางทำร้ายร่างกายของเด็กชายธราพงษ์จนได้รับบาดเจ็บโดยตรง พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมมีเหตุสมควรให้ริบอาวุธปืนของกลางแล้วโดยไม่ต้องคำนึงว่าอาวุธปืนของกลางที่จำเลยใช้กระทำความผิดดังกล่าวนั้นจะบรรจุกระสุนปืนหรือไม่ เพราะการกระทำความผิดเช่นนี้อาวุธปืนของกลางจะบรรจุกระสุนหรือไม่ ไม่มีผลโดยตรงที่จะเป็นเหตุให้เด็กชายธราพงษ์ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจไม่ริบอาวุธปืนของกลาง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบอาวุธปืนของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share