คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5606/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

++ เรื่อง ความผิดต่อชีวิต พยายาม ความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ++
++
++ คำพิพากษาสั่งออก – พิมพ์จากสำเนาชุดพิเศษ ++
++
++
++ พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า
++ ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายหลายคนร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายสัมผัสทองมี ผู้ตาย และนายเฉี้ยง อ่อนนวล ผู้เสียหายหลายนัด เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในที่เกิดเหตุ ส่วนผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส
++
++ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาหรือไม่
++ โจทก์ระบุพยานซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุ 2 ปาก คือนายสุภาพ สุวรรณโชติ และผู้เสียหาย สำหรับนายสุภาพมาศาลตามหมายเรียกแล้ว แต่โจทก์ไม่นำเข้าเบิกความ คงอ้างส่งบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนายสุภาพตามเอกสารหมาย จ.9 ซึ่งให้การไว้ว่า คืนเกิดเหตุนายสุภาพซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับไปสูบกัญชากันที่แหลมทวด เมื่อผู้ตายขับรถจักรยานยนต์กลับมาถึงที่เกิดเหตุพบรถยนต์กระบะสีเข้มจอดปิดไฟหันหน้ารถไปทางตลาดดอนสัก มีคนร้าย 3 ถึง 4 คน เข้ามาขวางและผลักรถจักรยานยนต์ล้มลง มีเสียงปืนดัง 3 นัด นายสุภาพเข้าใจว่าจะถูกยิงจึงวิ่งลัดเลาะเข้าป่าข้างทางถึงถนนสายดอนสัก – ขนอม ปรากฏว่ามีโลหิตไหลที่ศีรษะจึงโดยสารรถยนต์ไปโรงพยาบาลกาญจนดิษฐ์ แพทย์แจ้งว่าบาดแผลเกิดจากถูกฟันด้วยของมีคม นายสุภาพรักษาตัวที่โรงพยาบาล 2 วัน จึงกลับบ้าน ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจสืบทราบว่านายสุภาพเดินทางไปกับผู้ตายจึงสอบปากคำไว้ แต่นายสุภาพอ้างว่าขณะเกิดเหตุกำลังมึนเมาไม่ทันได้สังเกตว่า คนร้ายเป็นใคร ส่วนผู้เสียหายเบิกความว่า คืนเกิดเหตุขับรถจักรยานยนต์จะไปลอยอวนจับปลาที่แหลมทวด ก่อนถึงที่เกิดเหตุผู้ตายขับรถจักรยานยนต์แซงไป โดยมีชายนั่งซ้อนท้าย 1 คน แล้วมีเสียงปืนดังขึ้น 3 ถึง 4 นัด เห็นจำเลย นายหมีไม่ทราบชื่อจริงและนามสกุล นายปองไม่ทราบชื่อจริงและนามสกุลกับพวกอีก 2 คน ยืนอยู่ข้างรถยนต์กระบะซึ่งจอดอยู่ริมถนน ผู้ตายถูกยิงฟุบไปที่พื้นพร้อมรถจักรยานยนต์ จำเลยสั่งให้ผู้เสียหายหยุดรถ ผู้เสียหายจึงจอดรถแล้วลงไปยืน ผู้เสียหายบอกว่าไม่รู้เรื่อง จะไปลอยอวน จำเลยพูดว่าฆ่าให้ตาย แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนขนาด 9 มิลลิเมตร ยิงผู้เสียหายในระยะห่างประมาณ 1 เมตร นัดแรกถูกด้านหลังทะลุหน้าท้อง นัดที่สองถูกที่คอทะลุปาก ผู้เสียหายล้มหมดสติแล้วมารู้สึกตัวที่โรงพยาบาล ที่ผู้เสียหายเบิกความว่าผู้ตายขับรถจักรยานยนต์แซงรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายขับมุ่งหน้าไปทางแหลมทวดนั้น ขัดแย้งกับคำให้การของนายสุภาพที่ว่าผู้ตายขับรถจักรยานยนต์กลับจากสูบกัญชาที่แหลมทวด หลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนได้ตรวจสถานที่เกิดเหตุ ทำแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุและบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุไว้ตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.13 ก็พบรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายขับไปล้มอยู่ใกล้ศพผู้ตายเพียงคันเดียว ไม่ปรากฏว่าได้พบรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับและล้มไปพร้อมกับที่ผู้ตายถูกยิงดังที่ผู้เสียหายเบิกความ ผู้เสียหายเบิกความและให้การต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.5 ว่า ไม่เคยรู้จักผู้ตายมาก่อน แต่รายงานการสืบสวนของร้อยตำรวตรีสุนิตย์ ไชยหาญ รองสารวัตรป้องกันและปราบปรามสถานีตำรวจภูธรอำเภอดอนสักเอกสารหมาย จ.15 ระบุว่าจากการสืบสวนหาข่าวทราบว่าเหตุที่ผู้ตายเดินทางผ่านไปที่เกิดเหตุเพราะผู้เสียหายชวนผู้ตายและนายสุภาพไปนอนที่บ้านซึ่งต้องผ่านที่เกิดเหตุ ส่วนเหตุการณ์ขณะคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงในที่เกิดเหตุซึ่งผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่บอกให้ผู้เสียหายหยุดรถ ผู้เสียหายได้พูดตอบโต้กับจำเลยผู้เสียหายเห็นจำเลยในระยะห่างประมาณ 1 เมตร และเห็นเหตุการณ์ชัดแจ้งถึงขนาดระบุว่าจำเลยใช้อาวุธปืนขนาด 9 มิลลิเมตร นั้น ในชั้นสอบสวนผู้เสียหายให้การไว้เพียงว่า เมื่อขับรถจักรยานยนต์ไปถึงที่เกิดเหตุเห็นว่ามีการชุลมุนกัน จึงจอดรถจักรยานยนต์ริมถนน มีเสียงตะโกนถามว่าจะไปไหนผู้เสียหายบอกว่าจะไปลอยอวน เมื่อสิ้นเสียงก็มีเสียงปืนดังขึ้นในที่ชุลมุนกัน2 นัด มีเสียงพูดว่าต้องเก็บมันด้วย แล้วมีเสียงปืนดังติดกันหลายนัดจนผู้เสียหายถูกกระสุนปืนหมดสติไป ผู้เสียหายมิได้ให้การถึงพฤติการณ์ในการกระทำผิดของจำเลยตลอดจนอาวุธปืนที่จำเลยใช้เหมือนที่เบิกความต่อศาล เห็นว่า คดีนี้โจทก์มีแต่ผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานปากเดียว การที่ผู้เสียหายเบิกความแตกต่างจากคำให้การชั้นสอบสวนและเบิกความขัดแย้งกับพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ ทำให้น่าสงสัยว่าผู้เสียหายจำคนร้ายที่ร่วมใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหายได้แน่นอนว่าเป็นจำเลยหรือไม่ ส่วนที่โจทก์อ้างรายงานการสืบสวนของร้อยตำรวจตรีสุนิตย์เอกสารหมาย จ.15 ระบุว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกระทำผิดคดีนี้ โจทก์ก็มิได้นำร้อยตำรวจตรีสุนิตย์มาเบิกความทำให้จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านเพื่อให้ข้อเท็จจริงเป็นที่กระจ่างแก่ศาลว่าร้อยตำรวจตรีสุนิตย์สืบสวนได้ข้อเท็จจริงมาอย่างไร ทั้งรายงานการสืบสวนดังกล่าวระบุว่าคนร้ายมี 8 คน แตกต่างกับที่ผู้เสียหายเบิกความว่าคนร้ายมี 5 คน อีกด้วย พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบทั้งหมดเมื่อประมวลแล้วเห็นว่ายังมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยอาจจะไม่ใช่คนร้ายที่ร่วมใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหาย ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง และเมื่อพยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ร่วมใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหายในเวลาเกิดเหตุจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตในเวลาเกิดเหตุ และไม่มีความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรในเวลาเกิดเหตุด้วย
++ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
++ สำหรับปลอกกระสุนปืนของกลางซึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุ เป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำผิด จึงเห็นสมควรให้ริบปลอกกระสุนปืนของกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่คงให้ริบของกลาง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๐ เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกับพวกอีกหลายคนซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนสั้นขนาด ๙ มิลลิเมตร ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับ๑ กระบอก และเครื่องกระสุนปืนขนาด ๙ มิลลิเมตร หลายนัด อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวใช้ยิงได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมาย จำเลยกับพวกร่วมกันพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปตามถนนสาธารณะ บริเวณหมู่ที่ ๕ ตำบลดอนสัก อำเภอดอนสักจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยจำเลยกับพวกไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวทั้งไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ จำเลยกับพวกโดยไตร่ตรองไว้ก่อนได้จัดหาอาวุธปืนและร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายสัมผัสทองมี ผู้ตายหลายนัด กระสุนปืนถูกบริเวณศีรษะและหน้าอกเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายเฉี้ยง อ่อนนวลผู้เสียหายหลายนัดโดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกบริเวณใบหน้าและช่องท้องเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน จำเลยกับพวกลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผล เพราะผู้เสียหายได้รับการรักษาจากแพทย์ทันท่วงทีจึงไม่ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ตำบลดอนสัก อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี เจ้าพนักงานยึดปลอกกระสุนปืนขนาด ๙ มิลลิเมตร ๖ ปลอกเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๓,๙๑, ๒๘๘, ๒๘๙ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒,๗๒ ทวิ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ของกลางให้ริบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๘๙ (๔), ๘๐, ๘๓, ๙๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ วรรคหนึ่ง, ๗๒ วรรคสาม, ๗๒ ทวิวรรคสอง ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ประหารชีวิต ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก ๑๐ ปี ฐานมีอาวุธปืน จำคุก ๑ ปี และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ จำคุก ๖ เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้ลงโทษประหารชีวิตสถานเดียว ริบของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว
++ ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า +++++++++++
++ +++++++++++++++++++++ ++
เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๐ เวลาประมาณ ๒๒ นาฬิกา นายเฉี้ยงอ่อนนวล ผู้เสียหาย ขับรถจักรยานยนต์จะไปลอยอวนจับปลาที่แหลมทวด ขณะขับรถจักรยานยนต์ไปตามถนนลูกรังสายดอนสัก – วังหิน หมู่ที่ ๕ ตำบลดอนสักอำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผ่านสถานที่ก่อสร้างของการประปาไปประมาณ ๒๐๐ เมตร ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ๓ ถึง ๔ นัด ปรากฏว่านายสัมผัสทองมี ผู้ตาย กับนายสุภาพ สุวรรณโชติ ซึ่งขับและซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์อยู่ข้างหน้า ถูกจำเลย นายหมี ไม่ทราบชื่อจริงและนามสกุล นายปอง ไม่ทราบชื่อจริงและนามสกุล และพวกอีกสองคนยืนอยู่ข้างรถยนต์กระบะที่จอดอยู่ริมถนนใช้อาวุธปืนยิง ผู้ตายตกจากรถจักรยานยนต์ถึงแก่ความตาย เมื่อผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ผ่านไปจึงถูกจำเลยสั่งให้หยุดรถ แล้วใช้อาวุธปืนสั้นขนาด๙ มิลลิเมตร ยิงผู้เสียหายที่ด้านหลัง กระสุนปืนทะลุหน้าท้อง ๑ นัด และที่คอกระสุนทะลุปากอีก ๑ นัด ผู้เสียหายล้มลงหมดสติ จากนั้นจำเลยกับพวกหลบหนีไป ร้อยตำรวจเอกสุจินต์ จินประสงค์ รองสารวัตรสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอดอนสักตรวจสถานที่เกิดเหตุพบรถจักรยานยนต์ล้มอยู่ริมถนน๑ คัน และยึดปลอกกระสุนปืนขนาด ๙ มิลลิเมตร ๖ ปลอก เป็นของกลางส่วนผู้เสียหายถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ระหว่างผู้เสียหายรักษาตัวที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี พันตำรวจโทประชุม เรืองทอง สารวัตรสอบสวนไปสอบปากคำผู้เสียหาย ทราบว่าคนร้ายมี ๕ คน คือ จำเลย นายประจักษ์หรือหมี เพชรรัตน์ นายสมปองหรือปอง พริกนุ่น ส่วนอีกสองคนผู้เสียหายจำไม่ได้ และได้รับรายงานการสืบสวนจากร้อยตำรวจตรีสุนิตย์ ไชยหาญรองสารวัตรป้องกันและปราบปรามว่า คนร้ายที่ยิงผู้ตายและผู้เสียหายคือจำเลย นายสมปอง นายศึกษาหรือฉลาด พริกนุ่น นายเลิศ คงสุด นายฤทธิ์กุมเรศ นายประจักษ์ และนายเอียด สุวรรณรักษา สาเหตุเนื่องจากจำเลยหึงหวงที่ผู้ตายไปมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนางภิญญาหรือญา เรืองสม ซึ่งเคยเป็นภริยาจำเลย ต่อมาวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๐ ร้อยตำรวจตรีสุนิตย์จับกุมจำเลยได้ ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ พนักงานสอบสวนส่งปลอกกระสุนปืนของกลางไปตรวจพิสูจน์แล้วปรากฏว่า เป็นปลอกกระสุนปืนที่ใช้ยิงมาจากอาวุธปืนกระบอกเดียวกัน
จำเลยนำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่ และว่าระหว่างที่จำเลยถูกควบคุมตัวที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอดอนสัก เจ้าพนักงานตำรวจพาผู้เสียหายและนายสุภาพไปดูตัวจำเลยก่อนแล้วจัดให้ชี้ตัว ผู้เสียหายชี้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายส่วนนายสุภาพไม่ยอมชี้ตัว จำเลยไม่เคยรู้จักผู้ตาย ผู้เสียหาย และนายสุภาพมาก่อน จำเลยมิได้หึงหวงนางภิญญา เพราะนางภิญญามีอายุมากกว่าจำเลยประมาณ ๑๐ ปี และจำเลยมีภริยาใหม่แล้ว ก่อนเกิดเหตุประมาณ ๘ เดือนจำเลยมีเรื่องกับเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอดอนสักประมาณ๗ ถึง ๘ คน ซึ่งเข้าไปรับประทานอาหารที่ร้านของจำเลยแล้วจะไม่ชำระเงินต่อมาจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจชุดดังกล่าวรุมทำร้าย และแจ้งความกล่าวหาว่าจำเลยทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน แต่คดีดังกล่าวเสร็จสิ้นโดยการเปรียบเทียบปรับ
++ พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายหลายคนร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายสัมผัสทองมี ผู้ตาย และนายเฉี้ยง อ่อนนวล ผู้เสียหายหลายนัด เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในที่เกิดเหตุ ส่วนผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษาหรือไม่ โจทก์ระบุพยานซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุ ๒ ปาก คือนายสุภาพ สุวรรณโชติ และผู้เสียหาย สำหรับนายสุภาพมาศาลตามหมายเรียกแล้ว แต่โจทก์ไม่นำเข้าเบิกความ คงอ้างส่งบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนายสุภาพตามเอกสารหมาย จ.๙ ซึ่งให้การไว้ว่า คืนเกิดเหตุนายสุภาพซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับไปสูบกัญชากันที่แหลมทวด เมื่อผู้ตายขับรถจักรยานยนต์กลับมาถึงที่เกิดเหตุพบรถยนต์กระบะสีเข้มจอดปิดไฟหันหน้ารถไปทางตลาดดอนสัก มีคนร้าย ๓ ถึง ๔ คน เข้ามาขวางและผลักรถจักรยานยนต์ล้มลง มีเสียงปืนดัง ๓ นัด นายสุภาพเข้าใจว่าจะถูกยิงจึงวิ่งลัดเลาะเข้าป่าข้างทางถึงถนนสายดอนสัก – ขนอม ปรากฏว่ามีโลหิตไหลที่ศีรษะจึงโดยสารรถยนต์ไปโรงพยาบาลกาญจนดิษฐ์ แพทย์แจ้งว่าบาดแผลเกิดจากถูกฟันด้วยของมีคม นายสุภาพรักษาตัวที่โรงพยาบาล ๒ วัน จึงกลับบ้าน ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจสืบทราบว่านายสุภาพเดินทางไปกับผู้ตายจึงสอบปากคำไว้ แต่นายสุภาพอ้างว่าขณะเกิดเหตุกำลังมึนเมาไม่ทันได้สังเกตว่า คนร้ายเป็นใคร ส่วนผู้เสียหายเบิกความว่า คืนเกิดเหตุขับรถจักรยานยนต์จะไปลอยอวนจับปลาที่แหลมทวด ก่อนถึงที่เกิดเหตุผู้ตายขับรถจักรยานยนต์แซงไป โดยมีชายนั่งซ้อนท้าย ๑ คน แล้วมีเสียงปืนดังขึ้น ๓ ถึง ๔ นัด เห็นจำเลย นายหมีไม่ทราบชื่อจริงและนามสกุล นายปองไม่ทราบชื่อจริงและนามสกุลกับพวกอีก ๒ คน ยืนอยู่ข้างรถยนต์กระบะซึ่งจอดอยู่ริมถนน ผู้ตายถูกยิงฟุบไปที่พื้นพร้อมรถจักรยานยนต์ จำเลยสั่งให้ผู้เสียหายหยุดรถ ผู้เสียหายจึงจอดรถแล้วลงไปยืน ผู้เสียหายบอกว่าไม่รู้เรื่อง จะไปลอยอวน จำเลยพูดว่าฆ่าให้ตาย แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนขนาด ๙ มิลลิเมตร ยิงผู้เสียหายในระยะห่างประมาณ ๑ เมตร นัดแรกถูกด้านหลังทะลุหน้าท้อง นัดที่สองถูกที่คอทะลุปาก ผู้เสียหายล้มหมดสติแล้วมารู้สึกตัวที่โรงพยาบาล ที่ผู้เสียหายเบิกความว่าผู้ตายขับรถจักรยานยนต์แซงรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายขับมุ่งหน้าไปทางแหลมทวดนั้น ขัดแย้งกับคำให้การของนายสุภาพที่ว่าผู้ตายขับรถจักรยานยนต์กลับจากสูบกัญชาที่แหลมทวด หลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนได้ตรวจสถานที่เกิดเหตุ ทำแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุและบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุไว้ตามเอกสารหมาย จ.๒ และ จ.๑๓ ก็พบรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายขับไปล้มอยู่ใกล้ศพผู้ตายเพียงคันเดียว ไม่ปรากฏว่าได้พบรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับและล้มไปพร้อมกับที่ผู้ตายถูกยิงดังที่ผู้เสียหายเบิกความ ผู้เสียหายเบิกความและให้การต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.๕ ว่า ไม่เคยรู้จักผู้ตายมาก่อน แต่รายงานการสืบสวนของร้อยตำรวตรีสุนิตย์ ไชยหาญ รองสารวัตรป้องกันและปราบปรามสถานีตำรวจภูธรอำเภอดอนสักเอกสารหมาย จ.๑๕ ระบุว่าจากการสืบสวนหาข่าวทราบว่าเหตุที่ผู้ตายเดินทางผ่านไปที่เกิดเหตุเพราะผู้เสียหายชวนผู้ตายและนายสุภาพไปนอนที่บ้านซึ่งต้องผ่านที่เกิดเหตุ ส่วนเหตุการณ์ขณะคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงในที่เกิดเหตุซึ่งผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่บอกให้ผู้เสียหายหยุดรถ ผู้เสียหายได้พูดตอบโต้กับจำเลยผู้เสียหายเห็นจำเลยในระยะห่างประมาณ ๑ เมตร และเห็นเหตุการณ์ชัดแจ้งถึงขนาดระบุว่าจำเลยใช้อาวุธปืนขนาด ๙ มิลลิเมตร นั้น ในชั้นสอบสวนผู้เสียหายให้การไว้เพียงว่า เมื่อขับรถจักรยานยนต์ไปถึงที่เกิดเหตุเห็นว่ามีการชุลมุนกัน จึงจอดรถจักรยานยนต์ริมถนน มีเสียงตะโกนถามว่าจะไปไหนผู้เสียหายบอกว่าจะไปลอยอวน เมื่อสิ้นเสียงก็มีเสียงปืนดังขึ้นในที่ชุลมุนกัน๒ นัด มีเสียงพูดว่าต้องเก็บมันด้วย แล้วมีเสียงปืนดังติดกันหลายนัดจนผู้เสียหายถูกกระสุนปืนหมดสติไป ผู้เสียหายมิได้ให้การถึงพฤติการณ์ในการกระทำผิดของจำเลยตลอดจนอาวุธปืนที่จำเลยใช้เหมือนที่เบิกความต่อศาล เห็นว่า คดีนี้โจทก์มีแต่ผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานปากเดียว การที่ผู้เสียหายเบิกความแตกต่างจากคำให้การชั้นสอบสวนและเบิกความขัดแย้งกับพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ ทำให้น่าสงสัยว่าผู้เสียหายจำคนร้ายที่ร่วมใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหายได้แน่นอนว่าเป็นจำเลยหรือไม่ ส่วนที่โจทก์อ้างรายงานการสืบสวนของร้อยตำรวจตรีสุนิตย์เอกสารหมาย จ.๑๕ ระบุว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกระทำผิดคดีนี้ โจทก์ก็มิได้นำร้อยตำรวจตรีสุนิตย์มาเบิกความทำให้จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านเพื่อให้ข้อเท็จจริงเป็นที่กระจ่างแก่ศาลว่าร้อยตำรวจตรีสุนิตย์สืบสวนได้ข้อเท็จจริงมาอย่างไร ทั้งรายงานการสืบสวนดังกล่าวระบุว่าคนร้ายมี ๘ คน แตกต่างกับที่ผู้เสียหายเบิกความว่าคนร้ายมี ๕ คน อีกด้วย พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบทั้งหมดเมื่อประมวลแล้วเห็นว่ายังมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยอาจจะไม่ใช่คนร้ายที่ร่วมใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหาย ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗ วรรคสอง และเมื่อพยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ร่วมใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหายในเวลาเกิดเหตุจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตในเวลาเกิดเหตุ และไม่มีความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรในเวลาเกิดเหตุด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๘พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้นสำหรับปลอกกระสุนปืนของกลางซึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุ เป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำผิด จึงเห็นสมควรให้ริบปลอกกระสุนปืนของกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่คงให้ริบของกลาง.

Share