คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6086/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำขอดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาให้โจทก์ แต่จำเลยได้วางค่าธรรมเนียมในการส่งหมายโดยมิได้นำส่งเอง จำเลยจึงมีหน้าที่ติดตามผลการส่งหมายว่าส่งได้หรือไม่อย่างไร เมื่อปรากฏว่าส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่งให้แก่โจทก์ไม่ได้ และจำเลยมิได้แถลงว่าจะดำเนินการอย่างไรภายใน 15 วัน ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงเป็นการทิ้งอุทธรณ์คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยแล้ว กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคดีทั้งหมดภายหลังจากนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอุทธรณ์ที่จะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งหรือมีคำพิพากษาต่อไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทิ้งอุทธรณ์คำสั่ง จึงเป็นคำสั่งที่ก้าวล่วงอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของศาลอุทธรณ์และไม่มีบทกฎหมายใดสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนั้นได้ จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งหากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเกี่ยวกับการทิ้งอุทธรณ์คำสั่งไปอย่างไรย่อมทำให้การดำเนินคดีอย่างคนอนาถาสิ้นสุดลงและศาลอุทธรณ์ต้องมีคำสั่งกำหนดระยะเวลาให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมศาลเพื่อที่จะมีคำสั่งรับหรือไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาต่อไปเนื่องจากในขณะที่จำเลยใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งที่ศาลชั้นต้นยกคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถานั้น ระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระได้ล่วงพ้นไปแล้ว ศาลชั้นต้นจึงยังไม่ควรก้าวล่วงไปสั่งไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลยเสียในตอนนี้ การที่ศาลชั้นต้นด่วนไปสั่งไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ถูกต้องและเป็นการไม่ชอบ การที่ต่อมาจำเลยอุทธรณ์คำสั่งกรณีขอให้เพิกถอนคำสั่งทิ้งอุทธรณ์คำสั่งและไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษา แต่ศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งแก้ไขคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่ถูกต้อง กลับวินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งทิ้งอุทธรณ์คำสั่งและไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลยเป็นการชอบแล้ว จึงเป็นการวินิจฉัยที่ข้ามขั้นตอนของกฎหมายและเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวน 8,822,046.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 11 ต่อปี ของต้นเงิน 6,400,000 บาท นับแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2542 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้ชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 687,866.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 11 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2542 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 8,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาและยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยยากจนไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาลและคดีไม่มีเหตุอันควรจะอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง หากจำเลยยังติดใจอุทธรณ์ต่อไป ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง (ฉบับลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2546) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์คำสั่งและให้จำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่งให้แก่โจทก์ภายใน 7 วัน หากส่งไม่ได้ให้แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายใน 15 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ หากไม่แถลงให้ถือว่าทิ้งอุทธรณ์คำสั่ง ต่อมาส่งหมายนัดสำเนาอุทธรณ์คำสั่งให้แก่โจทก์ไม่ได้และจำเลยมิได้แถลงต่อศาลเพื่อดำเนินการต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทิ้งอุทธรณ์คำสั่งและมีคำสั่งในอุทธรณ์คำพิพากษาว่า จำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลตามคำสั่งศาลลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2546 จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ว่าจำเลยทิ้งอุทธรณ์คำสั่งและไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกาคำสั่ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า กรณีมีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งทิ้งอุทธรณ์คำสั่งและไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์แล้ว จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งในวันที่ 16 กรกฎาคม 2546 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์คำสั่งและมีคำสั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่งให้แก่โจทก์ภายใน 7 วัน หากส่งไม่ได้ให้แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายใน 15 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ หากไม่แถลงให้ถือว่าทิ้งอุทธรณ์คำสั่ง ทั้งนี้อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยหน้าแรกมีข้อความประทับด้วยตรายางของศาลชั้นต้นว่าให้มาทราบคำสั่งในวันที่ 23 กรกฎาคม 2546 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว โดยทนายจำเลยลงลายมือชื่อรับทราบไว้ จึงเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยยอมรับผูกพันตนเองว่า จะมาฟังคำสั่งในวันที่ 23 กรกฎาคม 2546 ถ้าไม่มาให้ถือว่าจำเลยทราบคำสั่งแล้วปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยในวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 ดังนี้ แม้จำเลยจะมิได้มาฟังคำสั่ง ก็ถือว่าจำเลยทราบคำสั่งนั้นแล้วตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2546 และเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่งให้โจทก์แต่จำเลยได้วางค่าธรรมเนียมในการส่งหมายโดยมิได้นำส่งเอง จำเลยจึงมีหน้าที่ติดตามผลการส่งหมายว่าส่งได้หรือไม่อย่างไร เมื่อปรากฏว่าส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่งให้แก่โจทก์ไม่ได้ และจำเลยมิได้แถลงว่าจะดำเนินการอย่างไรภายใน 15 วัน ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงเป็นกรณีที่จำเลยเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้น และถือเป็นการทิ้งอุทธรณ์คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 แต่เนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์คำสั่ง (ฉบับลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2546) ของจำเลยแล้ว กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคดีทั้งหมดภายหลังจากนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอุทธรณ์ที่จะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งหรือมีคำพิพากษาต่อไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทิ้งอุทธรณ์คำสั่ง จึงเป็นคำสั่งที่ก้าวล่วงอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของศาลอุทธรณ์และไม่มีบทกฎหมายใดสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนั้นได้ จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งหากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเกี่ยวกับการทิ้งอุทธรณ์คำสั่งไปอย่างไรย่อมทำให้การดำเนินคดีอย่างคนอนาถาสิ้นสุดลงและศาลอุทธรณ์ก็จะต้องมีคำสั่งกำหนดระยะเวลาให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมศาลเพื่อที่จะมีคำสั่งรับหรือไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาต่อไปเนื่องจากในขณะที่จำเลยใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งที่ศาลชั้นต้นยกคำขออนาถา (ฉบับลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2546) นั้น ระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งตามคำสั่งฉบับลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2546 ได้ล่วงพ้นไปแล้ว ศาลชั้นต้นจึงยังไม่ควรก้าวล่วงไปสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเสียในตอนนี้ การที่ศาลชั้นต้นด่วนไปสั่งไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ถูกต้องและเป็นการไม่ชอบ การที่ต่อมาจำเลยอุทธรณ์คำสั่งกรณีขอให้เพิกถอนคำสั่งทิ้งอุทธรณ์คำสั่งและไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษา แต่ศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งแก้ไขคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่ถูกต้อง กลับวินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งทิ้งอุทธรณ์คำสั่งและไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเป็นการชอบแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นการวินิจฉัยที่ข้ามขั้นตอนของกฎหมายและเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยศาลฎีกาจึงอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) (2) ประกอบด้วยมาตรา 247 แก้ไขให้ถูกต้องได้”
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นกรณีที่สั่งว่าจำเลยทิ้งอุทธรณ์คำสั่งลงวันที่ 24 กันยายน 2546 กรณีไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาลงวันที่ 7 ตุลาคม 2546 และยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นส่งถ้อยคำสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาสั่งเกี่ยวกับการทิ้งอุทธรณ์คำสั่งและมีคำสั่งต่อไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share