คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6072/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้อาศัยออกจากอาคารพิพาทซึ่งโจทก์เช่าซื้อมาจากการเคหะแห่งชาติในราคา63,000บาทหากโจทก์นำอาคารพิพาทไปให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ1,000บาทจำเลยให้การว่าโจทก์ได้ขายช่วงสิทธิการเช่าซื้ออาคารพิพาทให้จำเลยแล้วโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจึงเป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้อาศัยออกจากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาทต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคสองซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ขายช่วงสิทธิการเช่าซื้ออาคารพิพาทให้แก่จำเลยไปแล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยโจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้มีหลักฐานการขายช่วงสิทธิอาคารพิพาทกับหลักฐานการรับเงินเป็นพยานและโจทก์ไม่ได้หลอกลวงเอาใบเสร็จรับเงินจากจำเลยข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ขายช่วงสิทธิการเช่าอาคารพิพาทแก่จำเลยแล้วเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามอุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าวที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์มานั้นจึงเป็นการไม่ชอบและถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ทั้งฎีกาโจทก์ล้วนเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสองศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าซื้ออาคารเลขที่ 202/34 มาจากการเคหะแห่งชาติเป็นเงินจำนวน 63,000 บาท จำเลยมาอาศัยอยู่ในอาคารของโจทก์โดยไม่ได้ทำสัญญาเช่า ต่อมาโจทก์ต้องการใช้ประโยชน์จากอาคารจึงบอกให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปหลายครั้ง แต่จำเลยเพิกเฉยอาคารดังกล่าวหากนำออกให้เช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 1,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปและส่งมอบอาคารดังกล่าวคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไป
จำเลยให้การว่า โจทก์ขายช่วงสิทธิการเช่าซื้ออาคารพิพาทให้จำเลยตั้งแต่ปลายปี 2526 โดยโจทก์ได้มอบใบเสร็จค่าธรรมเนียมโอนสิทธิและภาพถ่ายสำเนาทะเบียนบ้าน กับบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ให้จำเลยยึดถือไว้และโจทก์ตกลงจะโอนสิทธิเปลี่ยนชื่อจากโจทก์มาเป็นจำเลยภายหลังหลังจากนั้นจำเลยได้เข้าอยู่ในอาคารพิพาทโดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่การเคหะแห่งชาติในนามโจทก์ตลอดมาแต่ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์หลอกลวงเอาใบเสร็จรับเงินค่าเช่าซื้อที่จำเลยชำระแทนโจทก์ไปบางส่วน หลังจากจำเลยเข้าครอบครองอาคารพิพาทแล้วได้ทำการก่อสร้างต่อเติมอาคารโดยโจทก์ไม่เคยโต้แย้งคัดค้านจำเลยอยู่ในอาคารโดยอาศัยสิทธิจำเลยเอง จึงไม่เป็นการละเมิด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้อาศัยออกจากอาคารพิพาทซึ่งโจทก์เช่าซื้อมาจากการเคหะแห่งชาติในราคา 63,000 บาท หากโจทก์นำอาคารพิพาทไปให้บุคคลอื่นเช่า จะได้ค่าเช่าเดือนละ 1,000 บาท จำเลยให้การว่าโจทก์ได้ขายช่วงสิทธิการเช่าซื้ออาคารพิพาทให้จำเลยแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้อาศัยออกจากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วฟังได้ว่า โจทก์ได้ขายช่วงสิทธิการเช่าซื้ออาคารพิพาทให้แก่จำเลยไปแล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยโจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้มีหลักฐานการขายช่วงสิทธิอาคารพิพาท กับหลักฐานการรับเงินเป็นพยานและโจทก์ไม่ได้หลอกลวงเอาใบเสร็จรับเงินจากจำเลยข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ขายช่วงสิทธิการเช่าอาคารพิพาทแก่จำเลยแล้วเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าวที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์มานั้นจึงเป็นการไม่ชอบและถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ทั้งฎีกาโจทก์ก็ล้วนแต่เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหาใช่ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายดังศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาไม่ เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และยกฎีกาโจทก์

Share