คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 607/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทเนื้อที่ 12 ไร่เศษ ไม่มีโฉนด เดิมเป็นของมารดาจำเลย มารดาจำเลยได้ยกที่พิพาทตีใช้หนี้เงินกู้ให้โจทก์ใน พ.ศ.2494 โจทก์จึงจ้างคนถางที่พิพาทจนเตียนหมด แล้วใน พ.ศ.2495 และ 2496 โจทก์ก็ทำนาและปลูกถั่วในที่พิพาท โดยทำนา 2 ไร่ ปลูกถั่ว 2 ไร่นอกนั้นเป็นที่ดอนน้ำไม่ถึง ปลูกอะไรไม่ได้ ดังนี้ถือได้ว่าเป็นการยึดถือโดยเจตนาเป็นเจ้าของโจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองที่พิพาทหมดทั้งแปลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 ในปีต่อๆ มาจนถึง พ.ศ.2501 โจทก์และผู้ดูแลที่พิพาทแทนโจทก์ได้ปล่อยที่พิพาทว่างไว้เนื่องจากขาดน้ำ ทำผลประโยชน์ไม่ได้จะถือว่าโจทก์สละเจตนาครอบครองหรือไม่ยึดถือที่พิพาทตามมาตรา 1377 วรรคแรก หาได้ไม่ ต้องถือว่ามีเหตุชั่วคราวมาขัดขวางมิให้โจทก์เข้ายึดถือทำประโยชน์อันเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 1377 วรรคสอง การครอบครองของโจทก์จึงไม่สุดสิ้นลง(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 41/2505)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินไม่มีโฉนด 1 แปลง เนื้อที่12 ไร่ 2 งาน โจทก์ได้ครอบครองก่นสร้างทำประโยชน์และแจ้งสิทธิครอบครอง เสียเงินบำรุงท้องที่ จำเลยเข้าบุกรุกแย่งกรรมสิทธิ์ขอให้ขับไล่

จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของมารดาจำเลย ยกให้จำเลยจำเลยได้ครอบครองตลอดมา

ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ที่พิพาทมาจากนางปิ่นมาตั้งแต่ พ.ศ. 2494 และได้เข้าครอบครองอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งครั้น พ.ศ. 2497 ถึง พ.ศ. 2501 ได้ปล่อยทิ้งว่างไว้ตลอดมารวมเป็นเวลา 5 ปี โจทก์ย่อมหมดสิทธิในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 6 จำเลยได้เข้าครอบครองที่พิพาทจึงเป็นของจำเลย พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่ดินเป็นของโจทก์มาก่อน โดยนางปิ่นตีใช้หนี้นั้นชอบแล้ว แต่ข้อที่ว่าโจทก์ละทิ้งการครอบครองนั้น ไม่เห็นด้วยเพราะโจทก์มอบให้นายสร้อยและนายแกละดูแลทำแทน โจทก์เสียค่าบำรุงท้องที่ไม่ขาดระยะและแจ้งสิทธิครอบครองด้วย จำเลยเพิ่งเข้ามาอยู่ในที่พิพาทเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2502 เดือนกรกฎาคม 2502 โจทก์ฟ้อง โจทก์ไม่ขาดการครอบครอง พิพากษากลับให้ขับไล่จำเลย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่านางปิ่นมารดาจำเลยได้ยกที่พิพาทให้โจทก์เป็นการตีใช้หนี้เงินกู้ชอบแล้ว และฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่าเมื่อนางปิ่นยกที่พิพาทให้โจทก์แล้ว โจทก์ได้จ้างนายโหละถางที่พิพาทจนเตียนหมด ปีพ.ศ. 2495 และ พ.ศ. 2496 โจทก์ทำนาและปลูกถั่วในที่พิพาทโดยทำนา 2 ไร่ นอกนั้นเป็นที่ดอน น้ำไม่ถึงปลูกอะไรไม่ได้ พ.ศ. 2497 และ2498 โจทก์ไม่ได้ทำนาทำไร่ เพราะฝนน้อยและน้ำท่วมไปไม่ถึงเพราะเป็นที่ลาดเท น้ำไม่ขัง พ.ศ. 2499 โจทก์ไปทำงานที่โรงน้ำตาลสุพรรณบุรีห่างที่พิพาท 15 กิโลเมตร จึงมอบที่ดินให้นายสร้อยนายแกละทำผลประโยชน์แทนและดูแลแทนด้วย พ.ศ. 2500 และ พ.ศ. 2501 นายสร้อยนายแกละก็ทำผลประโยชน์อะไรไม่ได้เพราะไม่มีน้ำ เดือนกุมภาพันธ์ 2502 จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่พิพาทซึ่งโจทก์เคยถากถางไว้แต่มีต้นไม้เล็ก ๆ ขึ้น จำเลยเข้าไปถากถางต้นไม้เล็ก ๆ เหล่านั้นนายสร้อยก็เขียนจดหมายให้โจทก์ทราบ โจทก์ห้ามจำเลยไม่เชื่อโจทก์จึงฟ้องคดีนี้

ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่แล้วเห็นว่า ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว การที่โจทก์ได้จ้างคนถากถางที่พิพาทจนเตียนหมดแล้วทำนา2 ไร่ และปลูกถั่ว 2 ไร่ ใน พ.ศ. 2495 และ 2496 นั้น เป็นการเข้ายึดถือโดยเจตนาเป็นเจ้าของ โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองทั้งแปลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 เหตุที่ทำไม่ได้หมดเพราะมีข้ออุปสรรคโดยไม่มีน้ำ ปี พ.ศ. 2497 ถึง 2501 โจทก์หรือนายสร้อยนายแกละต้องทิ้งให้ที่พิพาทว่างไว้ก็เนื่องจากขาดน้ำทำผลประโยชน์ไม่ได้ จะถือว่าโจทก์สละเจตนาครอบครองหรือไม่ยึดถือที่พิพาทตามมาตรา 1377 วรรคแรก หาได้ไม่ ต้องถือว่ามีเหตุชั่วคราวมาขัดขวางมิให้โจทก์เข้ายึดถือทำประโยชน์อันเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 1377 วรรค 2 การครอบครองของโจทก์จึงไม่สุดสิ้นลง เมื่อวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้มีเจตนาสละละทิ้ง กรณีก็ไม่เข้าประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 6(2) ที่จำเลยฎีกาขึ้นมา พิพากษายืน

Share