แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนทำลายสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลที่จำเลยสมยอมกันทำขึ้นเพื่อการฉ้อฉลให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป 12,000 บาท นำตราจองเลขที่ 122 ให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน ต่อมาจำเลยทั้ง 3 สมคบกันหาทางจะไม่ชำระหนี้โจทก์กล่าวคือ จำเลยที่ 2, 3 ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาล อ้างว่าที่ดินตราจองดังกล่าวบิดามารดายกให้จำเลยที่ 2-3 ก่อนตาย ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิรับมรดกและรับมรดกไปไม่ชอบ ซึ่งจำเลยที่ 1 สู้คดีว่าบิดามารดายกที่ดินให้จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวครั้นวันชี้สองสถาน จำเลยที่ 1 ได้ยอมยกที่ดินแปลงนี้ให้แก่จำเลยที่ 2-3 โดยขอรับเงินไปเพียง 800 บาท ปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งเลขแดงที่ 115/2502 เป็นการส่อเจตนาให้เห็นว่าจงใจฉ้อโกงโจทก์ ทำให้โจทก์เสียเปรียบในหลักทรัพย์ประกัน ฉะนั้น สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งแดง 115/2502 แม้จะได้กระทำต่อหน้าศาลก็เป็นการทุจริตอาศัยกฎหมายเป็นเครื่องมือ จึงขอให้ศาลพิพากษาสั่งให้เพิกถอนทำลายสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2-3 ในคดีแพ่งแดงที่ 115/2502 ให้ที่ดินตราจองที่ 122 เป็นของจำเลยที่ 1 ตามเดิม
จำเลยที่ 1 ขาดนัดให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2-3 ให้การว่า บิดามารดายกที่นาพิพาทให้จำเลยที่ 2-3 ส่วนจำเลยที่ 1 ถูกตัดมรดก แต่จำเลยที่ 1 ลอบนำตราจองที่พิพาทไปขอโอนรับมรดกเป็นของจำเลยที่ 1 เสีย จำเลยที่ 2-3 จึงได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนขอโอนรับมรดก ผลสุดท้ายได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อศาลจำเลยที่ 2-3 ไม่เคยทราบมาก่อนทำสัญญาประนีประนอมว่า จำเลยที่ 1 นำเอาตราจองไปประกันเงินกู้กับโจทก์ ทั้งไม่เคยคบกับจำเลยที่ 1 หาทางไม่ชำระหนี้โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ทำลายนิติกรรมสัญญาประนีประนอมยอมความ ขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์จะฟ้องให้ศาลเพิกถอนทำลายสัญญาประนีประนอมยอมความหาได้ไม่ และฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยครอบครองที่พิพาทเลย แต่จำเลยที่ 2-3 ครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของตลอดมาเชื่อว่าจำเลยที่ 1ลักเอาตราจองไปโอนรับมรดกโดยจำเลยที่ 2-3 ไม่รู้หรือไม่มีทางจะรู้ จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินโจทก์ยึดตราจองไว้จากจำเลยที่ 1 จึงหาก่อให้เกิดสิทธิในทรัพย์รายพิพาทไม่ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยปัญหาที่ว่า สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งแดงที่ 115/2502 นั้น จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2-3 สมยอมกันทำขึ้นเป็นการฉ้อฉลทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบ และโจทก์จะมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนทำลายได้หรือไม่ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2-3 สมยอมกันทำขึ้นเพื่อการฉ้อฉลให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนทำลายได้ หาได้ห้ามโจทก์มิให้ฟ้องในกรณีเช่นนี้ประการใดไม่ และฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2-3 ได้ครอบครองที่พิพาทมาฝ่ายเดียว จำเลยที่ 1 ลักเอาตราจองไปโอนเป็นของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2-3 มิได้เคยทราบมาก่อนว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ จำเลยที่ 2-3 จึงมิได้ทุจริตสมยอมในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความแต่ประการใด จึงฟังได้ว่า สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งแดงที่ 115/2502 นั้น จำเลยที่ 2-3ได้กระทำไปโดยสุจริต มิใช่เป็นการสมยอมเพื่อให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบแต่ประการใด โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนทำลายสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นไม่ได้
พิพากษายืน