คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 294/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507มาตรา 14 บัญญัติห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองหรืออยู่อาศัยในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ก็เป็นบทบัญญัติที่ใช้บังคับระหว่างรัฐกับราษฎร เป็นผลให้ราษฎรที่เข้ายึดถือครอบครองหรืออยู่อาศัยไม่ได้สิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ใช้ยันรัฐได้แต่ในระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งเป็นราษฎรด้วยกันเมื่อจำเลยเป็นผู้ปลูกสร้างห้องแถวพิพาทบนที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยก็มีสิทธิยึดถือและใช้สอยห้องแถวพิพาท กับมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับห้องแถวพิพาทโดยมิชอบ รวมทั้งมีสิทธิที่จะจำหน่ายห้องแถวพิพาทในสถานะเช่นเดียวกับเจ้าของเมื่อโจทก์ได้ซื้อห้องแถวพิพาทจากจำเลย และจำเลยได้ยอม รับสิทธิของโจทก์โดยได้ทำหนังสือสัญญาเช่าห้องแถวพิพาท จากโจทก์ สัญญาเช่าจึงใช้บังคับได้มีผลผูกพันจำเลย เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าและโจทก์ได้บอกเลิก สัญญาเช่าแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ทั้งสองออกจากห้องแถวพิพาทและเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระ จากจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองขนย้ายบริวารและทรัพย์สินออกไปจากที่ดิน 1 ไร่ พร้อมห้องแถว 5 ห้อง เลขที่ 937 หมู่ 12บ้านเขาถ้ำหมี ตำบลหนองมะค่าโมง อำเภอด่านช้างจังหวัดสุพรรณบุรี และที่ดินอีก 100 ไร่ตั้งอยู่หมู่ 5 ตำบลเดียวกัน ที่จำเลยทั้งสองทำสัญญาเช่าจากโจทก์ และให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าที่ค้างพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ห้องแถวพิพาททั้ง 5 ห้องเป็นของจำเลยทั้งสองซึ่งปลูกสร้างมานานประมาณ 15 ปีแล้วสำหรับที่ดินจำนวน 1 ไร่ ที่ใช้ปลูกบ้านแถวดังกล่าวและที่ดินอีก100 ไร่ เป็นที่ดินป่าสงวนแห่งชาติซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การทำสัญญาเช่าที่ดินป่าสงวนแห่งชาติมีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และห้องแถวก็ได้ปลูกอยู่ในที่ดินซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าว ซึ่งเป็นส่วนควบบนที่ดินป่าสงวนแห่งชาติจำเลยจึงไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินและห้องแถวที่จะนำไปโอนขายให้แก่โจทก์ได้ เมื่อโจทก์ไม่อาจรับโอนได้โจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะนำไปให้จำเลยเช่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ห้องแถวไม่เป็นส่วนควบที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยทั้งสองจึงมีกรรมสิทธิ์ในห้องแถวดังกล่าว และสามารถนำไปโอนขายให้แก่โจทก์ได้ เมื่อโจทก์ซื้อมาโจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์และมีสิทธิที่จะให้เช่าได้ จำเลยทั้งสองเช่าและผิดนัดไม่ชำระดังกล่าว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระจากจำเลยทั้งสองได้ พิพากษาแก้ให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากห้องแถวพิพาท 5 ห้องและให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกไปจากห้องแถวพิพาท 5 ห้องนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า แม้ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 บัญญัติห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองหรืออยู่อาศัยในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ก็เป็นเพียงบทบัญญัติที่ใช้บังคับระหว่างรัฐกับราษฎร ซึ่งเป็นผลให้ราษฎรที่เข้ายึดถือครอบครองหรืออยู่อาศัยไม่ได้สิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ใช้ยันรัฐได้ แต่ในระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งเป็นราษฎรด้วยกัน เมื่อจำเลยเป็นผู้ปลูกสร้างห้องแถวพิพาท แม้จะปลูกสร้างอยู่บนที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยก็ย่อมมีสิทธิยึดถือและใช้สอยห้องแถวพิพาท กับมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับห้องแถวพิพาทโดยมิชอบ รวมทั้งมีสิทธิ ที่จะจำหน่ายห้องแถวพิพาทในสถานะเดียวกับเจ้าของเมื่อโจทก์ได้ซื้อห้องแถวพิพาทจากจำเลยและจำเลยได้ยอมรับสิทธิของโจทก์โดยได้ทำหนังสือสัญญาเช่าห้องแถวพิพาทจากโจทก์ สัญญาเช่าจึงใช้บังคับได้มีผลผูกพันจำเลยเมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าและโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าแล้วโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากห้องแถวพิพาทและเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระจากจำเลยได้ กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าห้องแถวพิพาทเป็นส่วนควบกับที่ดินป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ ตามที่จำเลยทั้งสองฎีกา เพราะรัฐซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินป่าสงวนแห่งชาติมิได้เข้ามาโต้แย้งสิทธิของตนกับโจทก์จำเลยในคดีนี้ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share