คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6063/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 68 บัญญัติให้ถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่เป็นภูมิลำเนาของบริษัท โจทก์มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 162/18 หมู่ที่ 10 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี แม้โจทก์จะอ้างว่าโจทก์ปิดกิจการไปตั้งแต่ปี 2540 แต่โจทก์ก็อ้างมาในฎีกาว่า โจทก์ยังมิได้จดทะเบียนเลิกบริษัท จึงถือว่าโจทก์ยังคงมีภูมิลำเนาอยู่ที่เดิม ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปิดหมายนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่บ้านหลังดังกล่าวจึงเป็นการส่งที่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 74 (2) แล้ว ศาลชั้นต้นหาจำต้องส่งหมายนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้แก่กรรมการผู้จัดการของโจทก์และทนายโจทก์ด้วยไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าปรับพร้อมดอกเบี้ยรวม 21,153,922.41 บาท แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์โดยยกเว้นค่าขึ้นศาลให้บางส่วนเป็นเงิน 100,000 บาท หากโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้นำค่าขึ้นศาลมาชำระภายใน 15 วัน โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์และให้โจทก์นำเงินค่าขึ้นศาล 100,000 บาท มาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง
วันที่ 16 กันยายน 2548 เจ้าพนักงานศาลเสนอรายงานต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์มิได้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาวางต่อศาลตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 วันที่ 19 กันยายน 2548 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ไม่ชำระค่าขึ้นศาลภายในกำหนดจึงไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2548 โจทก์ยื่นคำร้องขอวางเงินค่าขึ้นศาลตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันว่า ศาลไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว กรณีหากเป็นไปตามคำร้องของโจทก์ก็ไม่มีอำนาจสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ได้ตามกฎหมาย จึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ต่อมาวันที่ 9 พฤศจิกายน 2548 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีนี้ใหม่ในชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันว่า ในชั้นอุทธรณ์ไม่มีบทบัญญัติให้ขอพิจารณาคดีใหม่ จึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2548 และวันที่ 9 พฤศจิกายน 2548
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน แต่ให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ในจำนวนทุนทรัพย์ 4,000,000 บาท ส่วนทุนทรัพย์ที่เกินกว่าจำนวนดังกล่าวไม่รับอุทธรณ์ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษาให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ในจำนวนทุนทรัพย์ 4,000,000 บาท ส่วนทุนทรัพย์ที่เกินกว่าจำนวนดังกล่าวไม่รับอุทธรณ์นั้นชอบหรือไม่ โจทก์ฎีกาสรุปได้ว่า โจทก์ปิดกิจการตั้งแต่ปี 2540 และไม่มีบุคคลใดอยู่ที่บริษัทโจทก์ แต่โจทก์มีนายสุริยันหรือณรงค์เป็นกรรมการผู้จัดการและมีทนายโจทก์เป็นผู้ดำเนินคดีแทนซึ่งมีภูมิลำเนาที่อยู่แน่นอน การที่ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไปยังบริษัทโจทก์เพียงที่เดียว โดยไม่ส่งให้แก่กรรมการผู้จัดการของโจทก์และทนายโจทก์ด้วยจึงเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 68 บัญญัติให้ถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่เป็นภูมิลำเนาของบริษัท โจทก์มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 162/18 หมู่ที่ 10 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี แม้โจทก์จะอ้างว่าโจทก์ปิดกิจการไปตั้งแต่ปี 2540 แต่โจทก์ก็อ้างมาในฎีกาว่า โจทก์ยังมิได้จดทะเบียนเลิกบริษัท จึงถือว่าโจทก์ยังคงมีภูมิลำเนาอยู่ที่เดิม ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปิดหมายนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่บ้านหลังดังกล่าวจึงเป็นการส่งที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 74 (2) แล้ว ศาลชั้นต้นหาจำต้องส่งหมายนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้แก่กรรมการผู้จัดการของโจทก์และทนายโจทก์ด้วยไม่ ตามรายงานการส่งหมายปรากฏว่าเจ้าพนักงานศาลส่งหมายให้แก่โจทก์โดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2548 การส่งหมายย่อมมีผลในวันที่ 2 สิงหาคม 2548 ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2548 จึงเป็นการอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 โดยชอบ และถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 แล้ว โจทก์จึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายใน 15 วัน ซึ่งครบกำหนดในวันที่ 10 กันยายน 2548 แต่โจทก์มิได้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ศาลชั้นต้นจึงไม่อาจอนุญาตให้โจทก์นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขออนุญาตวางเงินค่าธรรมเนียมศาลของโจทก์ฉบับลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2548 โดยไม่ไต่สวนจึงชอบแล้ว และเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้แก่โจทก์โดยชอบ กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นนับตั้งแต่การส่งหมายนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 จนถึงการอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงมิใช่เป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ โจทก์จึงไม่อาจขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2548 โดยมิได้ไต่สวนคำร้องดังกล่าวจึงชอบแล้ว
อนึ่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเว้นค่าธรรมเนียมให้โจทก์เฉพาะค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์จำนวน 100,000 บาท ซึ่งเป็นค่าขึ้นศาลสำหรับทุนทรัพย์ 4,000,000 บาท เมื่อโจทก์ไม่นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ในทุนทรัพย์ที่โจทก์ไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาเท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งหมดจึงเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ในทุนทรัพย์ 4,000,000 บาท นั้น ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share