แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
นายสุรพลเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ในสังกัดของจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์โดยสารของจำเลยที่ 2 ในทางการที่จ้างคนทั้งสองต่างขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถยนต์ทั้งสองคันชนกัน รถยนต์ที่จำเลยที่ 3ขับเสียหลักแฉลบไปชนรถยนต์ของโจทก์ซึ่งนายสุภาพเป็นผู้ขับได้รับความเสียหาย เกิดเหตุแล้วนายสุภาพได้รายงานให้เลขาธิการสำนักงานของโจทก์ทราบเหตุมีใจความสำคัญว่า “ได้มีรถยนต์โดยสารประจำทางสายขอนแก่น – หล่มสัก หมายเลขทะเบียน 10 – 1806 ขก. ชนกับรถยนต์บรรทุกเล็กราชการของกรมป่าไม้ หมายเลขทะเบียน น – 2691 ชย…ฯลฯ… แล้วรถยนต์โดยสารประจำทางเสียหลักพุ่งมาชนรถยนต์ราชการของ ศปอ. หมายเลขทะเบียน 2 ง – 9601 ซึ่งวิ่งมาตามเลนปกติด้วยความเร็วประมาณ 50 กม/ชม. เนื่องจากสภาพถนนไม่ดี… รายละเอียดปรากฏตามภาพถ่ายและแผนผังแสดงสถานที่เกิดเหตุที่แนบมาพร้อมนี้” และยังได้รายงานด้วยว่าได้แจ้งความต่อร้อยเวรประจำสถานีตำรวจท้องที่เกิดเหตุเป็นหลักฐานเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายต่อไปแล้ว รายงานของนายสุภาพระบุชัดว่ารถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น – 2691 ชัยภูมิ เป็นรถยนต์ราชการของจำเลยที่ 1 ซึ่งตามปกติจำเลยที่ 1 ย่อมจะต้องใช้รถยนต์ดังกล่าวในราชการ รายงานระบุด้วยว่ารถยนต์ของโจทก์แล่นอยู่ในทางเดินรถตามปกติ และได้แจ้งความเป็นหลักฐานในการเรียกร้องค่าเสียหายแล้ว เป็นการแสดงว่ารถยนต์อีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายกระทำผิด โจทก์จึงทราบถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนว่าคือจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่เลขาธิการสำนักงานของโจทก์ทราบรายงานของนายสุภาพ คือวันที่ 15เมษายน 2528 โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 30 พฤษภาคม 2529 เกิน 1 ปี นับแต่วันดังกล่าว คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคหนึ่ง ส่วนคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2ที่ 3 รายงานของนายสุภาพมิได้ระบุว่าคนขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุคือใครและเป็นลูกจ้างกระทำในทางการที่จ้างของบุคคลผู้ใด ปรากฏว่าเลขาธิการสำนักงานของโจทก์ทราบชื่อคนขับและนายจ้างของคนขับรถยนต์โดยสารเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2528 คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ต้องร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ 3 และนายสุรพลผู้ขับรถของจำเลยที่ 1 ขับรถคนละคันแล่นสวนทางกันโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถชนกันและรถยนต์ของโจทก์เสียหาย เป็นกรณีต่างคนต่างกระทำละเมิด แต่ละฝ่ายต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นตามสัดส่วนของความร้ายแรงแห่งการกระทำละเมิดของฝ่ายตน มิใช่ร่วมกันรับผิด ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 หรือนายสุรพลฝ่ายใดมีความประมาทเลินเล่อยิ่งกว่ากัน จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงรับผิดในจำนวนเงินค่าเสียหายแต่เพียงกึ่งหนึ่งของจำนวนเงินค่าเสียหายทั้งหมด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีฐานะเป็นกรม สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี และเป็นเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๒ ง – ๙๖๐๑ กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ ๑ เป็นกรม สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเป็นเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น – ๒๖๙๑ ชัยภูมิ จำเลยที่ ๒เป็นผู้ครอบครองในฐานะผู้เช่าซื้อรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๑๐ – ๑๘๐๖ ขอนแก่น จำเลยที่ ๓เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ มีหน้าที่ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๑๐ – ๑๘๐๖ ขอนแก่น รับส่งคนโดยสารประจำทางสายขอนแก่น – หล่มสัก อันเป็นกิจการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๘ นายสุรพล พลบถึง พนักงานของจำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น – ๒๖๙๑ ชัยภูมิ ไปตามถนนสายภูเขียว – ชุมแพ – ขอนแก่น ตามคำสั่งของจำเลยที่ ๑ อันเป็นการกระทำตามหน้าที่ในราชการของจำเลยที่ ๑ ขณะเดียวกันจำเลยที่ ๓ ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๑๐ – ๑๘๐๖ ขอนแก่น รับส่งคนโดยสารจากสถานีขนส่งรถยนต์โดยสารจังหวัดขอนแก่น มุ่งหน้าไปอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ตามเส้นทางสายขอนแก่น – ชุมแพอันเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ เมื่อรถยนต์ทั้งสองคันแล่นมาถึงบริเวณทางโค้งใกล้หมู่บ้านไชยสอที่เกิดเหตุ นายสุรพลและจำเลยที่ ๓ ต่างขับรถยนต์ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง คือต่างฝ่ายต่างขับรถมาด้วยความเร็วสูง โดยเฉพาะนายสุรพลได้ขับแซงรถคันอื่นที่แล่นนำหน้าตนขึ้นไป จึงเป็นเหตุให้รถที่นายสุรพลกับรถยนต์โดยสารที่จำเลยที่ ๓ ขับมานั้นชนกันอย่างแรง แล้วรถยนต์คันที่จำเลยที่ ๓ ขับเสียหลักแล่นแฉลบไปชนกับรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายคิดค่าเสียหายจำนวน ๗๓,๔๗๐ บาท การกระทำโดยประมาทเลินเล่อของนายสุรพลและจำเลยที่ ๓ เป็นเหตุให้รถของโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนายจ้างของนายสุรพลจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๓ จะต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ โจทก์ทราบถึงการกระทำละเมิดและรู้ว่าจำเลยทั้งสามเป็นผู้ที่ต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๒๘ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน ๗๓,๔๗๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันทำละเมิดจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า นายสุรพล พลบถึง มิได้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนน – ๒๖๙๑ ชัยภูมิ ด้วยความประมาท แต่เหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดในเหตุละเมิดที่เกิดขึ้น โจทก์เรียกค่าเสียหายสูงเกินไป ฟ้องโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า เหตุรถยนต์ชนกันเกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของนายสุรพล พลบถึง พนักงานของจำเลยที่ ๑ และนายสุภาพ สวงโท พนักงานของโจทก์ จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ มิได้ร่วมประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด ค่าเสียหายของโจทก์มากเกินไป ไม่เป็นความจริง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การที่รถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ชนกับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ เกิดจากนายสุรพลขับแซงรถยนต์ตรงทางโค้งเข้าไปในทางเดินรถของจำเลยที่ ๒ซึ่งจำเลยที่ ๓ ขับสวนทางมา จำเลยที่ ๓ มิได้ขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อ เหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของนายสุรพลฝ่ายเดียว โจทก์ฟ้องคดีเกินหนึ่งปีนับแต่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวว่าจำเลยที่ ๑ จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๓ เป็นลูกจ้างและขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ เหตุที่รถยนต์ชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๓ ด้วยฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ขาดอายุความตามคำให้การต่อสู้คดีของจำเลยที่ ๒ ส่วนจำเลยที่ ๓ แม้จะไม่ได้ให้การต่อสู้คดี แต่มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งไม่อาจแบ่งแยกได้จำเลยที่ ๓ ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อต่อสู้ของจำเลยที่ ๒ ด้วย จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๘เวลาประมาณ ๑๐ นาฬิกา นายสุรพล พลบถึง เจ้าพนักงานป่าไม้ปฏิบัติงานประจำเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ ได้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน น – ๒๖๙๑ ชัยภูมิ ของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ขับรถยนต์โดยสารประจำทางสายขอนแก่น – หล่มสัก หมายเลขทะเบียน ๑๐ – ๑๘๐๖ ขอนแก่น ของจำเลยที่ ๒ ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ แล่นสวนทางกับรถยนต์คันที่นายสุรพลขับ นายสุรพลและจำเลยที่ ๓ ต่างขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถยนต์ทั้งสองคันชนกัน รถยนต์โดยสารคันที่จำเลยที่ ๓ ขับเสียหลักแล่นแฉลบไปชนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ๒ ง – ๙๖๐๑ กรุงเทพมหานครของโจทก์ซึ่งมีนายสุภาพ สวงโท หัวหน้าศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นผู้ขับ เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนเงิน ๗๓,๔๗๐ บาทนายสุภาพได้รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น ปรากฏตามเอกสารหมายจ.๔ พลตำรวจตรีชวลิต ยอดมณี เลขาธิการสำนักงานของโจทก์ทราบรายงานดังกล่าวเมื่อวันที่ ๑๕เมษายน ๒๕๒๘ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๒๙
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ วรรคหนึ่ง หรือไม่ เห็นว่า นายสุภาพได้รายงานให้เลขาธิการสำนักงานของโจทก์ทราบเหตุตามเอกสารหมาย จ.๔ ซึ่งมีข้อความสำคัญว่า”ได้มีรถยนต์โดยสารประจำทางสายขอนแก่น – หล่มสัก หมายเลขทะเบียน ๑๐ – ๑๘๐๖ ขก.ชนกับรถยนต์บรรทุกเล็กราชการของกรมป่าไม้ หมายเลขทะเบียน น – ๒๖๙๑ ชย…ฯลฯ…แล้วรถยนต์โดยสารประจำทางเสียหลักพุ่งมาชนรถยนต์ราชการของ ศปอ. หมายเลขทะเบียน๒ ง – ๙๖๐๑ ซึ่งวิ่งมาตามเลนปกติด้วยความเร็วประมาณ ๕๐ กม/ชม. เนื่องจากสภาพถนนไม่ดีพอ เป็นถนนลูกรังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง และฝุ่นตลบเมื่อรถยนต์วิ่งสวนกัน ฯลฯรายละเอียดปรากฏตามภาพถ่ายและแผนผังแสดงสถานที่เกิดเหตุที่แนบมาพร้อมนี้” และได้รายงานว่า “ดังนั้นจึงได้ดำเนินการแจ้งความต่อ ร.ต.อ.สมบูรณ์ แสงวงษ์ รอง สวส.สภอ.ชุมแพ ร้อยเวร ไว้เป็นหลักฐานในการเรียกร้องค่าเสียหายต่อไป ตามสำเนาประจำวันของสภอ.ชุมแพ ลำดับที่ ๖ ลงวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๘ (ดังแนบ)…” รายงานของนายสุภาพระบุชัดว่า รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น – ๒๖๙๑ ชัยภูมิ เป็นรถยนต์ราชการของจำเลยที่ ๑ซึ่งตามปกติจำเลยที่ ๑ ย่อมจะต้องใช้รถยนต์คันดังกล่าวในราชการ รายงานดังกล่าวระบุไว้ด้วยว่ารถยนต์ของโจทก์แล่นอยู่ในทางเดินรถตามปกติ และนายสุภาพได้ดำเนินการแจ้งความเป็นหลักฐานในการเรียกร้องค่าเสียหายแล้ว อันเป็นการแสดงว่ารถยนต์อีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายกระทำละเมิด โจทก์จึงทราบถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนว่าคือจำเลยที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๒๘ คือวันที่เลขาธิการสำนักงานของโจทก์ทราบรายงานของนายสุภาพ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๒๙ นับแต่วันดังกล่าว คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ วรรคหนึ่ง ส่วนคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ นั้น รายงานของนายสุภาพมิได้ระบุว่าคนขับรถยนต์โดยสารประจำทางคันเกิดเหตุคือใครและเป็นลูกจ้างกระทำในทางการที่จ้างของบุคคลผู้ใด ข้อเท็จจริงรับฟังได้จากเอกสารหมาย ป.จ.๘ว่า เลขาธิการสำนักงานของโจทก์ทราบชื่อคนขับและนายจ้างของคนขับรถยนต์โดยสารคันดังกล่าวเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๒๘ คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จึงไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ ๒ที่ ๓ ต้องร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๓ และคนขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ขับรถคนละคันแล่นสวนทางกันโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถชนกัน และรถยนต์ของโจทก์เสียหายเป็นกรณีต่างคนต่างกระทำละเมิด แต่ละฝ่ายต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นตามสัดส่วนของความร้ายแรงแห่งการกระทำละเมิดของฝ่ายตน มิใช่ร่วมกันรับผิด ข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ ๓ หรือคนขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ฝ่ายใดมีความประมาทเลินเล่อยิ่งกว่ากัน จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จึงชอบที่จะรับผิดในจำนวนเงินค่าเสียหายแต่เพียงกึ่งหนึ่งของจำนวนเงินค่าเสียหายทั้งหมด โดยรับผิดต่อโจทก์เป็นจำนวนเงิน ๓๖,๗๓๕ บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันใช้เงินให้แก่โจทก์ ๓๖,๗๓๕ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๘ จนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑.