แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ภรรยาโจทก์เอาบ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่โจทก์เช่านาไปขายฝากไว้กับจำเลยมีกำหนด 2 ปี โดยโจทก์กับภรรยาโจทก์บอกจำเลยว่า ถ้าภรรยาโจทก์ไม่ซื้อบ้านคืนภายในกำหนดให้สิทธิการเช่าที่ดินตกเป็นของจำเลยอันเป็นการแสดงเจตนาว่าจำเลยไม่ต้องรื้อถอนบ้านออกไป ดังนี้ เมื่อภรรยาโจทก์ไม่ซื้อบ้านคืนภายในกำหนด โจทก์ก็จะฟ้องให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินที่โจทก์เช่าไม่ได้ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๑๖๘ ของวัดปากลัดมิซซังคาทอลิค พระประแดง โจทก์ปลูกบ้านเลขที่ ๓๗๘/๓ เพื่ออยู่อาศัยเมื่อพ.ศ. ๒๕๑๓ นางอัมพร ยินดีคุณ ภรรยาโจทก์ได้ขายฝากบ้านดังกล่าวไว้กับจำเลยเป็นเงิน ๒๕,๐๐๐ บาท โดยระหว่างอายุขายฝากโจทก์ครอบครองบ้านและที่ดินที่เช่า ต่อมาศาลพิพากษาให้ภรรยาโจทก์และบริวารออกไปจากบ้านหลังนี้ โจทก์และบริวารจึงย้ายออกไปเช่าบ้านผู้มีชื่ออยู่เดือนละ ๔๐๐ บาท เพราะโจทก์ไม่สามารถจะปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินนั้นได้ ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนออกไปแล้วคงเพิกเฉย จึงขอบังคับให้จำเลยรื้อถอนบ้านพิพาท ห้ามเข้าเกี่ยวข้อง และให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า ภรรยาโจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินและครอบครองปลูกบ้านเลขที่ ๓๗๘/๓ อยู่อาศัย โจทก์อยู่ในฐานะบริวาร ภรรยาโจทก์ขายฝากบ้านดังกล่าวโดยสละการครอบครองที่ดินที่เช่าให้จำเลยโดยโจทก์และวัดผู้ให้เช่ายินยอม จำเลยไม่เคยได้รับคำบอกกล่าวโจทก์ไปอาศัยบ้านผู้อื่นโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน ถึงหากจะเสียก็ไม่เกินเดือนละ ๕๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินที่โจทก์เช่า ห้ามเข้าเกี่ยวข้อง กับให้ใช้ค่าเสียกายเดือนละ ๔๐ บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อบ้านออกไป พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความว่า บ้านพิพาท นางอัมพร ยินดีคุณ ภรรยาชอบด้วยกฎหมายของโจทก์เป็นผู้ขออนุญาตปลูกสร้างต่อเทศบาล และเป็นผู้ขออนุญาตต่อน้ำต่อไฟฟ้าเข้ามาในบ้าน เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๑๓ นางอัมพรได้ขายฝากบ้านหลังนั้นได้กับจำเลยเป็นเงิน ๒๕,๐๐๐ บาท กำหนดไถ่คืนภายใน ๒ ปี โดยโจทก์กับบาทหลวงเจ้าอาวาสวัดปากลัดมิซซังคาทอลิคพระประแดงเจ้าของที่ดินที่บ้านหลังนั้นปลูกอยู่ได้ทำหนังสือยินยอมอนุญาต ในระหว่างขายฝากโจทก์และนางอัมพรอยู่ในบ้านหลังนั้น ครบกำหนดนางอัมพรไม่ไถ่คืน บ้านพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยเด็ดขาด เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๑๖ จำเลยฟ้องขับไล่นางอัมพรและบริวาร ต่อมาศาลพิพากษาให้ขับไล่ นางอัมพรและโจทก์จึงออกไปเช่าบ้านคนอื่นอยู่ โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยให้รื้อถอนบ้านหลังพิพาท
ในปัญหาที่โจทก์มีสิทธิฟ้องให้จำเลยรื้อถอนบ้านหลังพิพาทนี้หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยเชื่อตามที่จำเลยนำสืบว่า โจทก์กับนางอัมพรบอกจำเลยว่านางอัมพรเป็นผู้เช่าที่ดิน ถ้าหากนางอัมพรไม่ซื้อบ้านคืนภายในกำหนด ให้สิทธิการเช่าที่ดินตกเป็นของจำเลย ข้อที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินโดยมีเอกสารสัญญาเช่าเป็นพยานนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าแม้โจทก์จะเป็นผู้เช่าที่ดิน แต่การที่โจทก์กับนางอัมพรเป็นเจ้าของบ้านร่วมกันเช่นนี้ แสดงว่าโจทก์เช่าที่ดินนั้นเพื่อตนเองและเพื่อนางอัมพรด้วย เมื่อโจทก์กับนางอัมพรตกลงกับจำเลยว่าถ้านางอัมพรไม่ซื้อบ้านภายในกำหนด ให้สิทธิการเช่าตกเป็นของจำเลย อันเป็นการแสดงเจตนาว่าจำเลยไม่ต้องรื้อถอนบ้านออกไป โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยรื้อถอนบ้านไม่ได้ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ส่วนที่โจทก์อ้างในฎีกาว่า การเช่าเป็นการเฉพาะตัว ไม่อาจโอนแก่กันได้ ศาลฎีกาเห็นว่าการโอนสิทธิการเช่าให้จำเลยได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปแล้ว ศาลก็ต้องยกฟ้องโจทก์
พิพากษายืน
(ล้วน นิลกำแหง วิทูร เทพพิทักษ์ มงคล วัลยะเพ็ชร์)