คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1217/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นคนต่างด้าว มีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศ มีผู้นำหลักฐานปลอมไปยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานให้ออกบัตรประจำตัวประชาชนและใบสำคัญทหารกองเกินแทนฉบับชำรุดสูญหายให้จำเลย เจ้าพนักงานหลงเชื่อคำร้องและหลักฐานปลอมนั้นจึงออกให้ เมื่อจำเลยซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเอกสารราชการดังกล่าวเกิดจากการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267ยังนำไปใช้โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่เจ้าพนักงาน ผู้อื่นหรือประชาชน จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 267
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268ประกอบด้วยมาตรา 265 แต่เมื่อข้อเท็จจริงที่ได้ความตามคำบรรยายฟ้องทั้งหมดนั้น ครบองค์เป็นความผิดตามมาตรา268 ประกอบด้วยมาตรา 267 ก็เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างบทมาตราผิดศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและจำเลยให้การรับสารภาพฟังได้ว่า ก. จำเลยเป็นบุคคลต่างด้าวเชื้อชาติจีน สัญชาติพม่ามีภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองร่างกุ้ง ประเทศพม่า เมื่อระหว่างวันที่1 ตุลาคม 2513 ถึงวันที่ 18 พฤษภาคม 2516 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัดจำเลยบังอาจเดินทางจากภูมิลำเนาดังกล่าวแล้วเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่มีหนังสือเดินทางอันถูกต้อง

ข. เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2516 จำเลยบังอาจเอาบัตรประจำตัวประชาชนฉบับวันออกบัตร 26 ตุลาคม 2513 ชื่อตัวนายวีระ ชื่อสกุล แซ่จิว อันเป็นเอกสารราชการปลอมที่มีผู้นำหลักฐานทะเบียนบ้านปลอมขอจำเลยไปยื่นคำร้องขอมีบัตรประจำตัวประชาชนต่อเจ้าพนักงานผู้ทำและเจ้าพนักงานผู้ออกบัตรให้ออกปลอมให้จำเลยทั้งฉบับ และเอาใบสำคัญทหารกองเกินแทนฉบับชำรุดสูญหาย (แบบ ส.ด.9) เลขที่ 1113 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2513 ชื่อนายวีระ แซ่จิว อันเป็นเอกสารปลอมที่มีผู้นำหลักฐานการแจ้งหายของใบสำคัญทหารกองเกินปลอมของจำเลยไปยื่นคำร้องขอใบสำคัญทหารกองเกินแทนฉบับชำรุดสูญหายให้เจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ทำปลอมออกให้จำเลยทั้งฉบับ ไปใช้อ้างแสดงแก่ร้อยตำรวจเอกประสิทธิ์ เฟื่องอารมย์ ว่าเป็นบัตรประจำตัวประชาชนและใบสำคัญทหารกองเกินแทนฉบับชำรุดสูญหายที่เจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวแล้วเป็นผู้ออกให้แก่จำเลยอันแท้จริง เพื่อเป็นหลักฐานแสดงให้ร้อยตำรวจเอกประสิทธิ์หลงเชื่อหรือเข้าใจว่าจำเลยเป็นบุคคลสัญชาติไทย ทั้งนี้โดยจำเลยรู้แล้วว่าเอกสารราชการดังกล่าวทั้งสองฉบับเป็นเอกสารปลอม โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่เขตปทุมวัน เจ้าพนักงานผู้ทำและออกบัตรประจำตัวประชาชนเขตปทุมวันเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และเจ้าพนักงานผู้ทำและออกใบสำคัญทหารกองเกินเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย หรือผู้อื่นหรือประชาชนได้

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2493 มาตรา 21, 58 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 265, 90, 91 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 2 ลงโทษฐานผิดพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง มาตรา 21, 58 ปรับ 1,000 บาท และฐานใช้เอกสารราชการปลอมตามมาตรา 268 แห่งประมวลกฎหมายอาญา จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 2 ปี ปรับ 1,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพโดยดี มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย 1 ปี ปรับ 500 บาท ของกลางริบ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องฐานใช้เอกสารปลอม นอกจากที่แก้นี้แล้วให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำฟ้องข้อ ข. ซึ่งจำเลยได้ให้การรับสารภาพนั้นมีใจความว่า มีผู้ใดไม่ปรากฏไปยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานให้ออกบัตรประจำตัวประชาชนให้จำเลย โดยนำทะเบียนบ้านปลอมไปแสดงเป็นหลักฐาน ทั้ง ๆ ที่จำเลยเป็นบุคคลต่างด้าวซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศพม่า เจ้าพนักงานได้ออกบัตรประชาชนให้จำเลย ซึ่งแสดงว่าเจ้าพนักงานหลงเชื่อคำร้องอันมีทะเบียนบ้านปลอมนั้นเป็นหลักฐานประกอบ จึงออกให้ และใบสำคัญทหารกองเกินก็เป็นไปในทำนองเดียวกันกล่าวคือเจ้าพนักงานได้ออกใบสำคัญทหารกองเกินแทนฉบับชำรุดสูญหายให้จำเลย เพราะหลงเชื่อว่าคำร้องซึ่งผู้ยื่นคำร้องแสดงหลักฐานการแจ้งหายปลอม จำเลยรู้อยู่แล้วว่าบัตรประจำตัวประชาชนและใบสำคัญทหารกองเกินแทนฉบับชำรุดสูญหายนั้นเป็นเอกสารราชการซึ่งเกิดจากการกระทำอันผิดกฎหมายของผู้ยื่นคำร้อง จำเลยก็ยังใช้เอกสารราชการดังกล่าวนั้นแสดงแก่ร้อยตำรวจเอกประสิทธิ์ เฟื่องอารมย์ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่เจ้าพนักงานผู้ออกเอกสารราชการนั้น ๆ และผู้อื่นหรือประชาชนได้ ดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่าเอกสารราชการทั้งสองฉบับนี้เกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา 267 แห่งประมวลกฎหมายอาญา คือการยื่นคำร้องแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในบัตรประจำตัวประชาชนว่าจำเลยเป็นบุคคลสัญชาติไทย และในใบสำคัญทหารกองเกินแทนฉบับชำรุดสูญหายว่าจำเลยเป็นทหารกองเกิน ซึ่งเอกสารราชการ 2 ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานแสดงข้อเท็จจริงดังกล่าว การที่จำเลยนำไปใช้จึงเป็นความผิดตามมาตรา 268 แม้โจทก์จะเรียกเอกสารราชการ2 ฉบับนี้ว่าเป็นเอกสารปลอม และตามคำขอท้ายฟ้องก็อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 265 แต่เมื่อข้อเท็จจริงที่ได้ความตามคำบรรยายฟ้องทั้งหมดนั้นครบองค์เป็นความผิดตามมาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 267 ก็เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างบทมาตราผิดเท่านั้น ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่ถูกต้องได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเอกสารราชการ 2 ฉบับนี้เป็นเอกสารที่ออกให้โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่เป็นเอกสารปลอมจำเลยนำไปใช้ก็ไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม จึงพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 267 อีกกระทงหนึ่งให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share