คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6053/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยว่าจ้าง น. ให้เป็นตัวแทนเรียกค่าเสียหายจาก ก. โดยจำเลยทำเป็นสัญญากู้เงิน น. ไว้ เท่ากับว่ามีการแปลงหนี้ใหม่จากหนี้จ้างทำของมาเป็นหนี้เงินกู้ หนี้จ้างทำของจึงระงับไปด้วยการแปลงหนี้ใหม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 349 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยบอกเลิกสัญญากู้เงินกับ น. ก่อน น. โอนสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ หนี้ตามสัญญากู้เงินจึงระงับ น. ไม่อาจโอนสิทธิเรียกร้องที่โจทก์ยืนยันมาในคำฟ้องว่าระงับไปแล้วให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำสัญญากู้เงินดังกล่าวมาฟ้องบังคับจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยว่าจ้างนายนิยมเป็นเงิน 10,000 บาท เป็นตัวแทนช่วยเหลือเรียกค่าเสียหายจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยจำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินไว้เป็นหลักฐานและสัญญาว่าจะชำระเงินแก่นายนิยมเมื่อจำเลยได้รับค่าเสียหายจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแล้ว ต่อมาจำเลยได้บอกเลิกสัญญาต่อนายนิยม สัญญาระหว่างนายนิยมกับจำเลยจึงเป็นอันสิ้นสุดลง จำเลยจะต้องชำระเงินจำนวน 10,000 บาท แก่นายนิยมตามสัญญา ต่อมานายนิยมได้โอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ และโจทก์ได้บอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทราบและให้จำเลยชำระหนี้จำนวน 10,000 บาท แก่โจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องได้ความว่า การทำสัญญากู้เงินดังกล่าวสืบเนื่องจากจำเลยได้ว่าจ้างให้นายนิยมเป็นตัวแทนเรียกค่าเสียหายจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นเงิน 10,000 บาท โดยให้จำเลยทำเป็นสัญญากู้เงินไว้ ดังนี้ เท่ากับว่ามีการแปลงหนี้ใหม่จากหนี้จ้างทำของ หนี้จ้างทำของดังกล่าวจึงเป็นอันระงับไปด้วยการแปลงหนี้ใหม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 349 วรรคหนึ่ง และเมื่อข้อเท็จจริงได้จากคำบรรยายฟ้องของโจทก์ต่อไปว่า จำเลยได้มีการบอกเลิกสัญญากู้เงินแล้ว จึงไม่มีหนี้ระหว่างนายนิยมกับจำเลยต่อไป นายนิยมย่อมไม่อาจโอนสิทธิเรียกร้องที่ระงับไปนั้นให้แก่โจทก์ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวซึ่งระบุว่าเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้เงินฉบับลงวันที่ 30 ธันวาคม 2539 และโจทก์ยืนยันมาในคำฟ้องว่าสัญญากู้เงินดังกล่าวสิ้นสุดลงแล้วมาฟ้องบังคับจำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาเป็นเงิน 400 บาท แทนจำเลย.

Share