คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3919/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ว่าตราประทับของบริษัทจำเลยที่ 1 ที่ใช้ประทับในสัญญาจะมิใช่ตราสำคัญที่บริษัทจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตาม แต่ก็เป็นตราที่จำเลยที่ 1 ได้ใช้ในการทำธุรกรรมทางการค้ากับโจทก์ตลอดมาเป็นเวลานานประมาณ 10 ปี เมื่อจำเลยที่ 1 ได้เข้ารับเอาประโยชน์ตามสัญญาแล้ว การทำสัญญาดังกล่าวจึงสมประโยชน์จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันและรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งแปดร่วมกันชำระหนี้ตามคำฟ้องโจทก์ให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 75,738,088.14 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 59,632,472.72 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น หากจำเลยทั้งแปดไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ให้บังคับคดีและบังคับจำนองยึดทรัพย์จำนองตามคำฟ้องและทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยทั้งแปดออกขายทอดตลาดแล้วเอาเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งแปดให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งแปดร่วมกันชำระเงินจำนวน 75,738,088.14 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินอัตราสูงสุดที่กำหนดไว้ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศธนาคารโจทก์แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 21.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 59,632,472.72 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งแปดไม่ชำระหนี้ดังกล่าวหรือชำระไม่ครบ ให้ยึดทรัพย์สินที่จำเลยที่ 3 จำนองไว้และทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยทั้งแปดออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาชำระแก่โจทก์จนกว่าจะครบถ้วน และให้จำเลยทั้งแปดร่วมกันชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดเป็นค่าทนายความ 200,000 บาท
จำเลยทั้งแปดอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจำเลยที่ 1 และที่ 5 จำเลยที่ 2 ได้กระทำการแทนจำเลยที่ 1 ในการขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตต่อโจทก์และทำสัญญาทรัสต์รีซีททุกฉบับกับโจทก์ แต่ตราประทับของบริษัทจำเลยที่ 1 และที่ 5 ที่จำเลยที่ 2 ใช้ประทับในสัญญาทั้งหมดนั้นมิใช่ตราสำคัญที่บริษัทจำเลยที่ 1 และที่ 5 ได้จดทะเบียนไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 จะทำคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตหรือคำขออื่นต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 จะต้องทำคำขอโดยมีการประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ 1 มาก่อน แล้วจึงนำมาเสนอต่อโจทก์ และตราประทับที่จำเลยที่ 1 ใช้นี้ก็ปรากฏว่าเป็นตราที่จำเลยที่ 1 ได้ใช้ในการทำธุรกรรมทางการค้ากับโจทก์ตลอดมาก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นเวลานาน โดยจำเลยที่ 2 ได้เบิกความตอบโจทก์ถามค้านยอมรับว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกค้าธนาคารโจทก์โดยติดต่อกับโจทก์มานานประมาณ 10 ปี ในกิจการที่เกี่ยวกับการขายตั๋วแลกเงินต่างประเทศ การเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต การทำสัญญาทรัสต์รีซีท และการกู้เบิกเงินเกินบัญชีก็ได้ทำต่อเนื่องมาก่อนที่จะมีการฟ้องคดีนี้ด้วย โดยใช้ตราประทับเดียวกันกับที่ให้ไว้แก่ธนาคารโจทก์และเป็นตราประทับเดียวกันกับตราประทับในสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีทที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 ได้เข้ารับเอาประโยชน์ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีทตามคำฟ้องดังกล่าวแล้ว การทำสัญญาดังกล่าวจึงสมประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ทุกประการ จำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันตามสัญญาทรัสต์รีซีทอันเป็นสัญญาซึ่งต่อเนื่องกับสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตตามคำฟ้องและต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาดังกล่าว…
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งแปดร่วมกันชำระหนี้โดยคำนวณยอดหนี้ใหม่… นอกจากที่แก้ซึ่งได้แก่การบังคับคดีเอาจากทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นและความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ.

Share