คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4260/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่บัญชีกำไรขาดทุนที่ผู้ชำระบัญชีจัดทำขึ้นนั้น จัดทำขึ้นจากหลักฐานไม่ตรงกับความเป็นจริง แม้เมื่อผู้ชำระบัญชีจัดทำบัญชีเสร็จ เจ้าหนี้ทั้งสองมิได้โต้แย้งบัญชีดังกล่าวต่อศาลและเมื่อผู้ชำระบัญชีขอให้ห้างฯ ล้มละลาย ลูกหนี้ก็มิได้คัดค้านว่าห้างฯ มีกำไร ทั้งยังร่วมกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของห้างฯ ร้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายตามห้างฯ ก็ตาม แต่เจ้าหนี้ทั้งสองมิได้รับรองบัญชีดังกล่าว คงมีแต่ผู้ชำระบัญชีและผู้สอบบัญชีฝ่ายลูกหนี้ลงชื่อรับรอง การที่เจ้าหนี้ทั้งสองมิได้รับรองบัญชีดังกล่าวย่อมไม่เป็นการตัดสิทธิเจ้าหนี้ทั้งสองที่จะกล่าวอ้างในคดีนี้ว่าบัญชีที่ผู้ชำระบัญชีจัดทำขึ้นไม่ถูกต้องและในคดีที่ผู้ชำระบัญชีร้องขอให้ห้างฯ ล้มละลายนั้นพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 88 วรรคสอง บัญญัติว่าเมื่อผู้ชำระบัญชีมีคำร้องขอ ให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดทันทีเจ้าหนี้ทั้งสองจึงไม่มีโอกาสคัดค้าน ส่วนที่เจ้าหนี้ไปร่วมกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายตามห้างฯ ก็ถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิโดยชอบเพื่อเยียวยาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่ห้างฯ มีทรัพย์สินไม่พอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ทั้งสอง จะถือว่าเป็นการยอมรับบัญชีที่ผู้ชำระบัญชีจัดทำขึ้นแล้วมิได้ ห้างฯ มีกำไรสุทธิในวันเลิกห้างฯ 7,813,932.48 บาทเจ้าหนี้ทั้งสองมีหุ้นรวมกันร้อยละ 30 มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งเงินปันผลกำไรของห้างฯ เป็นเงิน 2,344,179.74 บาท ส่วนแบ่งเงินปันผลกำไรดังกล่าวเป็นเงินที่เจ้าหนี้ทั้งสองมีสิทธิได้รับจากห้างฯเมื่อปรากฏว่าห้างฯ ไม่อาจชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่เจ้าหนี้ทั้งสองได้ลูกหนี้ในฐานะหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดซึ่งต้องร่วมรับผิดในหนี้ของห้างฯ โดยไม่จำกัดจำนวน ย่อมต้องร่วมรับผิดต่อเจ้าหนี้ทั้งสอง เจ้าหนี้ทั้งสองมีสิทธิขอรับชำระหนี้เงินจำนวนดังกล่าวจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ การชำระบัญชีอันเป็นมูลเหตุให้เกิดหนี้ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในชั้นชำระบัญชีที่เจ้าหนี้ทั้งสองขอรับชำระหนี้เกิดขึ้นจากข้อตกลงของเจ้าหนี้ทั้งสองและลูกหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งของศาลชั้นต้น เพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายทั้งสองฝ่ายย่อมต้องรับผิดชอบในค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายดังกล่าวร่วมกัน สัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับการเลิกห้างมีข้อความว่ากิจการ ทรัพย์สินและโรงน้ำแข็งของห้าง ให้ประมูลขายทอดตลาดนำเงินมอบแก่ผู้ชำระบัญชีเพื่อจัดการตามส่วน แต่ต่อมามีคำพิพากษาฎีกาคดีระหว่างเจ้าหนี้ร่วม โจทก์ และผู้ชำระบัญชีกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของห้างฯ จำเลย ให้ผู้ชำระบัญชีและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของห้างฯ รับเงิน 50,000 บาท จากเจ้าหนี้ร่วม แล้วให้จดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 1089 อันเป็นทรัพย์สินของห้างฯ คืนให้แก่เจ้าหนี้ร่วมโดยปลอดจากการจำนองหากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และผู้ชำระบัญชีของห้างฯ ไม่มีเงินจากกองทรัพย์สินของห้างฯ พอที่จะทำการไถ่ถอนจำนอง ให้ลูกหนี้ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างฯ รับผิดในหนี้ของห้างฯ ลูกหนี้จึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว

ย่อยาว

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดอุตสาหกรรมน้ำแข็งตราดเด็ดขาด เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2520ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องขอให้นายเล็งเลิศ ใบหยก ลูกหนี้ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการล้มละลายตามห้างฯ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2521พลตำรวจโทประสงค์ ศักดิ์สุภา เจ้าหนี้และนางชุบ ชพานนท์เจ้าหนี้ร่วมยื่นคำขอรับชำระหนี้ส่วนแบ่งเงินปันผลกำไรจำนวน3,806,980 บาท และค่าหุ้นจำนวน 750,000 บาท คืนจากกองทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจำกัดอุตสาหกรรมน้ำแข็งตราดรวมเป็นเงิน5,567,980 บาท ในฐานะเจ้าหนี้รายที่ 2 และยื่นคำขอรับชำระหนี้ส่วนแบ่งเงินปันผลกำไรจำนวน 4,864,458 บาท ค่าหุ้นจำนวน 750,000 บาทค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในชั้นชำระบัญชี 11,000 บาท และค่าที่ดินตามคำพิพากษาฎีกาที่ 2635/2527 จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้รวมเป็นเงิน 14,151,335.08 บาท ในฐานะเจ้าหนี้รายที่ 5 เจ้าหนี้และเจ้าหนี้ร่วมขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้เดียวกันและเป็นคนเดียวกันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงให้รวมการพิจารณาคำขอรับชำระหนี้ทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกัน
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ให้บรรดาเจ้าหนี้และลูกหนี้ตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 104 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย 2483แล้ว ปรากฏว่านายพิชิต ปุษปาคม เจ้าหนี้รายที่ 8 และลูกหนี้โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้รายนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว มีความเห็นว่าควรให้เจ้าหนี้ทั้งสองได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดอุตสาหกรรมน้ำแข็งตราดและเมื่อปรากฏภายหลังว่าลูกหนี้ถึงแก่ความตาย ก็ให้ได้รับเงินจากกองมรดกของลูกหนี้ดังนี้
1. หนี้เงินปันผลกำไรจำนวน 4,864,592 บาท ตามมาตรา 130(8)แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483
2. หนี้ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในชั้นชำระบัญชีจำนวน11,000 บาท ตามมาตรา 130(5) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483
นอกจากหนี้ดังกล่าวตามข้อ 1 และ 2 ให้เจ้าหนี้ร่วมแต่เพียงผู้เดียวมีสิทธิให้ลูกหนี้ หรือผู้จัดการมรดกของลูกหนี้โอนที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1089 ตำบลวังกะแจะ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราดคืนให้โดยปลอดการจำนอง โดยเจ้าหนี้ร่วมวางเงินช่วยการขาดทุนจำนวน50,000 บาท เข้ากองทรัพย์สินของลูกหนี้ หากไม่สามารถโอนที่ดินดังกล่าวคืนให้โดยปลอดจำนองก็ให้เจ้าหนี้ร่วมมีสิทธิได้รับชำระหนี้จำนวน 8,525,877.08 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ แต่เมื่อปรากฏว่าลูกหนี้ถึงแก่ความตายก็ให้ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวจากกองมรดกของลูกหนี้ ตามมาตรา 130(8) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483คำขอรับชำระหนี้อื่นนอกจากที่วินิจฉัยให้ได้รับชำระหนี้ดังกล่าวข้างต้น เห็นควรให้ยกเสีย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว อนุญาตให้เจ้าหนี้ทั้งสองได้รับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ลูกหนี้ โดยนายพันธ์เลิศ ใบหยก ผู้จัดการมรดก อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ทั้งสองในมูลหนี้เงินปันผลกำไร นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
เจ้าหนี้ เจ้าหนี้ร่วมและลูกหนี้ โดยนายพันธ์เลิศ ใบหยกผู้จัดการมรดก ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เดิมเจ้าหนี้ เจ้าหนี้ร่วม ลูกหนี้และพลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิวงศ์ร่วมกันตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดอุตสาหกรรมน้ำแข็งตราด มีวัตถุประสงค์ผลิตและจำหน่ายน้ำแข็ง ลูกหนี้เป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เจ้าหนี้ทั้งสองและพลตำรวจเอกประเสริฐเป็นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิด ห้างฯ เริ่มดำเนินกิจการเมื่อปี 2508 ต่อมาในปี 2513 เจ้าหนี้ทั้งสองฟ้องลูกหนี้ต่อศาลจังหวัดตราดขอเลิกห้างฯ คดีตกลงกันได้ในปี 2518โดยลูกหนี้ยอมเลิกห้างฯ และยอมให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้ชำระบัญชี มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลจังหวัดตราดพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว ตั้งแต่ห้างฯ เริ่มดำเนินกิจการจนถึงวันเลิกห้างฯ เมื่อปี 2518 ห้างฯไม่เคยทำบัญชีกำไรขาดทุน ไม่เคยทำงบดุลและไม่เคยจ่ายเงินปันผลกำไร ผู้ชำระบัญชีทำบัญชีกำไรขาดทุนและงบดุลจากเอกสารที่ยึดได้จากห้างฯ บัญชีกำไรขาดทุนที่ผู้ชำระบัญชีจัดทำขึ้นปรากฏว่าในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 2508-2518 ห้างฯ มีกำไรทั้งสิ้น 1,482,788.52 บาทแต่ตามงบดุล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2519 ปรากฏว่าห้างฯ มีทรัพย์สินไม่พอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้เป็นเงิน 4,547,852.27 บาท ผู้ชำระบัญชีจึงร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้สั่งให้ห้างฯ ล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของห้างฯ เด็ดขาดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2520และต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของห้างฯ ร่วมกับเจ้าหนี้ร้องขอต่อศาลให้ลูกหนี้ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการล้มละลายตามห้างฯศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดเมื่อวันที่26 กรกฎาคม 2521 คดีทั้งสองถึงที่สุดแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยข้อแรกตามฎีกาของเจ้าหนี้ทั้งสองว่าเจ้าหนี้ทั้งสองขอรับชำระหนี้ส่วนแบ่งเงินปันผลกำไรจำนวน4,864,458 บาท ได้หรือไม่ ในข้อนี้เจ้าหนี้ทั้งสองฎีกาว่าบัญชีกำไรขาดทุนของผู้ชำระบัญชี จัดทำขึ้นจากสมุดบัญชีที่ยึดได้จากห้างฯ ซึ่งมีการลงบัญชีโดยไม่ถูกต้อง เนื่องจากลูกหนี้ได้ยักยอกเงินของห้างฯ ไป และนำเงินของห้างฯ ไปใช้จ่ายในกิจการส่วนตัวทำให้ต้องลงบัญชีผิดไปจากความเป็นจริง เจ้าหนี้ทั้งสองจึงได้ทำบัญชีขึ้นใหม่ โดยนางปรีดา ศักดิ์สุภา ภรรยาเจ้าหนี้ซึ่งเคยทำหน้าที่เป็นผู้จัดการห้างฯ ระยะหนึ่งเป็นผู้จัดทำ ปรากฏว่าห้างฯมีกำไรในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 2508-2518 เป็นเงิน 16,214,862 บาทเห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่าลูกหนี้เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ายักยอกเงินของห้างฯ ไป ปรากฏตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดตราดคดีหมายเลขแดงที่ 1007/2524 เอกสารหมาย จ.27 และเคยต้องคำพิพากษาว่าเบิกความเท็จในชั้นไต่สวนมูลหนี้โดยเปิดเผยเพื่อปลดห้างฯ จากการล้มละลาย ซึ่งข้อที่ศาลในคดีดังกล่าวฟังว่าลูกหนี้เบิกความเท็จได้แก่ข้อที่ลูกหนี้เบิกความว่า พนักงานที่ทำงานในกิจการส่วนตัวของลูกหนี้กับพนักงานของห้างฯ เป็นคนละชุดกันและการเงินก็ไม่เคยเกี่ยวข้องกันปรากฏตามคำพิพากษาฎีกาที่1145/2524 เอกสารหมาย จ.30 เจือสมกับที่นางปรีดาให้การต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าลูกหนี้นำพนักงานของห้างฯ ไปทำงานในกิจการส่วนตัว และนำเงินของห้างฯ ไปจ่ายเป็นค่าจ้างทั้งยังนำเงินของห้างฯ ไปหมุนเวียนใช้จ่ายในกิจการส่วนตัวด้วย นอกจากนี้เจ้าหนี้ทั้งสองมีนายยงยุทธ ตั้งศรีสงวน ซึ่งเป็นผู้สอบบัญชีฝ่ายเจ้าหนี้ที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความตอนเลิกห้างฯ มาให้การต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องของระบบบัญชีของห้างฯ เช่น ไม่มีบัญชีแยกประเภททรัพย์สิน บัญชีแยกประเภทรายได้รายจ่าย บัญชีลูกหนี้เจ้าหนี้ ส่วนบัญชีการผลิตมีเพียงบางปีสำหรับสมุดบัญชีเงินสดไม่มีตราประทับของสารวัตรบัญชีตามระเบียบนอกจากนี้การลงบัญชีมีข้อพิรุธ เช่น สมุดบัญชีเงินสดปี 2513-2517ในวันที่ 1 มกราคม ไม่มียอดเงินคงเหลือยกมาจากปีก่อนหน้านั้นทั้ง ๆ ที่มีเงินคงเหลือจากปีก่อนปรากฏในสมุดบัญชี หรือบางเดือนที่รายรับสูงกว่ารายจ่ายก็จะระบุว่าเป็นเงินทดรองจ่าย เป็นต้นอันเป็นพฤติการณ์ที่สนับสนุนให้รับฟังได้ว่า บัญชีกำไรขาดทุนที่ผู้ชำระบัญชีจัดทำขึ้นนั้นจัดทำขึ้นจากหลักฐานที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าเมื่อผู้ชำระบัญชีจัดทำบัญชีเสร็จเจ้าหนี้ทั้งสองมิได้โต้แย้งบัญชีดังกล่าวต่อศาลและเมื่อผู้ชำระบัญชีร้องขอให้ห้างฯ ล้มละลายลูกหนี้ก็มิได้คัดค้านว่า ห้างฯ มีกำไรทั้งยังร่วมกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของห้างฯ ร้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายตามห้างฯ ดังที่ลูกหนี้แก้ฎีกาก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าเจ้าหนี้ทั้งสองมิได้รับรองบัญชีดังกล่าวคงมีแต่ผู้ชำระบัญชีและผู้สอบบัญชีฝ่ายลูกหนี้ลงชื่อรับรอง ส่วนนายยงยุทธผู้สอบบัญชีฝ่ายเจ้าหนี้ได้บันทึกไว้ในบัญชีกำไรขาดทุนที่ผู้ชำระบัญชีทำขึ้นว่ายังรับรองไม่ได้เพราะยังไม่ได้ตรวจสอบกับสมุดบัญชีและเอกสารต่าง ๆ ตามที่หมายเหตุไว้ การที่เจ้าหนี้ทั้งสองมิได้รับรองบัญชีดังกล่าวย่อมไม่เป็นการตัดสิทธิเจ้าหนี้ทั้งสองที่จะกล่าวอ้างในคดีนี้ว่าบัญชีที่ผู้ชำระบัญชีจัดทำขึ้นไม่ถูกต้องและในคดีที่ผู้ชำระบัญชีร้องขอให้ห้างฯ ล้มละลายนั้น พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 88 วรรคสอง ได้บัญญัติว่าเมื่อผู้ชำระบัญชีมีคำร้องขอ ให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดทันทีเจ้าหนี้ทั้งสองจึงไม่มีโอกาสคัดค้าน ส่วนที่เจ้าหนี้ไปร่วมกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายตามห้างฯ ก็ถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิโดยชอบเพื่อเยียวยาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่ห้างฯ มีทรัพย์สินไม่พอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ทั้งสอง จะถือว่าเป็นการยอมรับบัญชีที่ผู้ทำบัญชีจัดทำขึ้นแล้วมิได้ สำหรับบัญชีที่ฝ่ายเจ้าหนี้จัดทำขึ้นซึ่งปรากฏว่าห้างฯ มีกำไร 16,214,862 บาทนั้น นางปรีดาให้การต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าในส่วนที่เกี่ยวกับรายรับ ใช้ตัวเลขจากบัญชีที่ผู้ชำระบัญชีจัดทำขึ้นเป็นส่วนใหญ่ เว้นแต่รายรับของปี 2512 และปี 2515 คิดคำนวณใหม่เนื่องจากรายรับจากการจำหน่ายน้ำแข็งในปีดังกล่าวต่ำกว่าที่ควรจะได้ และเพิ่มยอดรายได้เบ็ดเตล็ดที่ไม่ปรากฏในบัญชีกำไรขาดทุนของผู้ชำระบัญชี ส่วนรายจ่ายคิดคำนวณจากรายจ่ายที่ปรากฏในสมุดบัญชีของห้างฯ สามปีแรกที่ดำเนินกิจการนำมาหาค่าเฉลี่ยเป็นรายจ่ายใน 1 ปี แล้วคูณด้วยจำนวนปีที่ดำเนินกิจการ ตัวเลขที่ได้ถือว่าเป็นรายจ่ายทั้งหมด เห็นว่า ในส่วนที่เกี่ยวกับรายรับเจ้าหนี้ทั้งสองยอมรับว่ารายรับตามบัญชีที่ผู้ชำระบัญชีจัดทำขึ้นถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ และที่นางปรีดาอ้างเหตุที่ต้องคิดคำนวณรายรับของปี 2512 และ 2515 ใหม่ว่าเพราะตัวเลขรายจ่ายค่าน้ำที่ใช้ผลิตน้ำแข็งของปีดังกล่าวไม่สัมพันธ์กับรายได้ที่ได้รับจากการจำหน่ายน้ำแข็งในปีนั้น ก็ปรากฏจากคำให้การของนางปรีดาเองว่าวิธีการคำนวณรายได้จากการจำหน่ายน้ำแข็งในปี 2512 และปี 2515ตามบัญชีที่ตนเองจัดทำขึ้นใหม่ คิดจากรายได้เฉลี่ยของปี 2508-2510มิได้คิดคำนวณจากรายจ่ายค่าน้ำที่อ้างว่าไม่สัมพันธ์กับรายได้ตัวเลขที่ได้จึงมิใช่รายรับที่แท้จริงอยู่ดี สำหรับรายได้เบ็ดเตล็ดที่นำมาคิดเพิ่มก็ไม่ปรากฏที่มาที่แน่ชัดในส่วนที่เกี่ยวกับรายรับจึงควรถือตามบัญชีของผู้ชำระบัญชี แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับรายจ่ายเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามีการลงบัญชีไม่ถูกต้อง และการลงบัญชีเป็นเรื่องที่อยู่ในความรู้เห็นของลูกหนี้เพียงฝ่ายเดียว เจ้าหนี้ทั้งสองไม่มีทางที่จะทราบรายจ่ายที่แท้จริงได้ การที่ฝ่ายเจ้าหนี้คิดรายจ่ายจากค่าเฉลี่ยของรายจ่ายที่ปรากฏในสมุดบัญชีของห้างฯเอง ในสามปีแรกที่ดำเนินกิจการจึงมีเหตุผลและน่าจะใกล้เคียงความเป็นจริงมากกว่าบัญชีที่ผู้ชำระบัญชีจัดทำขึ้น ในส่วนที่เกี่ยวกับรายจ่ายจึงควรถือตามบัญชีของฝ่ายเจ้าหนี้ ซึ่งเมื่อปรับปรุงยอดรายรับรายจ่ายของห้างฯ โดยถือรายรับตามบัญชีที่ผู้ชำระบัญชีจัดทำขึ้นและถือรายจ่ายตามบัญชีของฝ่ายเจ้าหนี้แล้วห้างฯ ควรมีกำไรในช่วงเวลาที่ประกอบกิจการเป็นเงิน 14,861,784.75บาท แต่ผลกำไรดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเป็นกำไรสุทธิที่มีในวันเลิกห้าง เพราะยังมิได้นำทรัพย์สิน หนี้สินและทุนของห้างฯ มาพิจารณาประกอบ ฝ่ายเจ้าหนี้มิได้นำสืบถึงตัวเลขมูลค่าทรัพย์สินรวมทั้งหนี้สินและทุนของห้างฯ ในวันเลิกห้างฯ แต่ตัวเลขดังกล่าวมีปรากฏอยู่ในงบดุลที่ผู้ชำระบัญชีจัดทำขึ้น ซึ่งเจ้าหนี้ทั้งสองก็มิได้โต้แย้งโดยเฉพาะเกี่ยวกับหนี้เงินกู้จากธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ จำกัด จำนวน 7,272,737.44 บาทลูกหนี้มีนายเฉลิม ทองศรีพงศ์ ทนายความของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ จำกัด มาให้การยืนยันหนี้จำนวนดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ทั้งตามบัญชีที่ฝ่ายเจ้าหนี้จัดทำขึ้นเองก็ปรากฏรายการจ่ายดอกเบี้ยแต่ไม่มีรายการจ่ายต้นเงินเชื่อได้ว่าห้างฯ เป็นหนี้เงินกู้ธนาคารดังกล่าวอยู่จริงเมื่อนำผลกำไรที่ห้างฯ ได้รับในช่วงเวลาที่ประกอบกิจการมาพิจารณาประกอบกับทรัพย์สินหนี้สินและทุนของห้างฯ ตามที่ปรากฏในงบดุลที่ผู้ชำระบัญชีจัดทำขึ้น ซึ่งปรากฏว่าห้างฯ มีทรัพย์สินไม่พอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้และคืนทุนแก่ผู้เป็นหุ้นส่วนเป็นเงินทั้งสิ้น7,047,852.27 บาทแล้ว ห้างฯ คงมีกำไรสุทธิ 7,813,932.48 บาทเจ้าหนี้ทั้งสองมีหุ้นรวมกันร้อยละ 30 จึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งเงินปันผลกำไรของห้างฯ เป็นเงิน 2,344,179.74 บาท ส่วนแบ่งเงินปันผลกำไรดังกล่าวเป็นเงินที่เจ้าหนี้ทั้งสองมีสิทธิได้รับจากห้างฯ เมื่อปรากฏว่าห้างฯ ไม่อาจชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่เจ้าหนี้ทั้งสองได้ ลูกหนี้ในฐานะหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดซึ่งต้องร่วมรับผิดในหนี้ของห้างฯ โดยไม่จำกัดจำนวน ย่อมต้องร่วมรับผิดต่อเจ้าหนี้ทั้งสอง เจ้าหนี้ทั้งสองจึงมีสิทธิขอรับชำระหนี้เงินจำนวนดังกล่าวจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ฎีกาของเจ้าหนี้ทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
ปัญหาวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของลูกหนี้ข้อแรกว่า เจ้าหนี้ทั้งสองขอรับชำระหนี้ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในชั้นชำระบัญชีที่เจ้าหนี้ทั้งสองออกทดรองไปก่อนได้เพียงใด ในข้อนี้ลูกหนี้ฎีกาว่า เจ้าหนี้ทั้งสองมีสิทธิขอรับชำระหนี้เพียงกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 5,500 บาทมิใช่ขอรับชำระหนี้เต็มจำนวน 11,000 บาท เห็นว่าการชำระบัญชีอันเป็นมูลเหตุให้เกิดหนี้ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในชั้นชำระบัญชีที่เจ้าหนี้ทั้งสองขอรับชำระหนี้นั้นเกิดขึ้นจากข้อตกลงของเจ้าหนี้ทั้งสองและลูกหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 10278/2518 ของศาลชั้นต้น เพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายทั้งสองฝ่ายย่อมต้องรับผิดชอบในค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายดังกล่าวร่วมกัน เจ้าหนี้ทั้งสองจึงมีสิทธิขอรับชำระหนี้เงินจำนวนนี้จากกองมรดกของลูกหนี้เพียงกึ่งหนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองให้เจ้าหนี้ทั้งสองได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนที่ขอมานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของลูกหนี้ในข้อนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของลูกหนี้ข้อสองว่า เจ้าหนี้ร่วมมีสิทธิได้รับชำระหนี้ค่าที่ดินจำนวน 5,525,877.08 บาทตามคำพิพากษาฎีกาที่ 2635/2527 จากกองมรดกของลูกหนี้หรือไม่ปัญหาข้อนี้ลูกหนี้ฎีกาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 1089 ได้โอนกรรมสิทธิ์มาเป็นของห้างฯ ตั้งแต่ก่อนมีการประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 10278/2518 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม โดยมีข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความในข้อ 3ว่ากิจการ ทรัพย์สินและโรงน้ำแข็งของห้างฯ ให้ประมูลขายทอดตลาดนำเงินมามอบแก่ผู้ชำระบัญชีเพื่อจัดการแบ่งกันตามส่วนเจ้าหนี้ร่วมจึงไม่อาจขอรับชำระหนี้ค่าที่ดินแปลงนี้ได้ เห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าวเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับการเลิกห้างฯซึ่งมีการรวบรวมทรัพย์สินมาแบ่งปันกัน เมื่อปรากฏว่าต่อมาที่ดินแปลงนี้ได้มีคำพิพากษาฎีกาที่ 2635/2527 คดีระหว่างเจ้าหนี้ร่วมโจทก์ ผู้ชำระบัญชีกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของห้างฯ จำเลยซึ่งศาลฎีกาพิพากษาให้ผู้ชำระบัญชีและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของห้างฯ รับเงิน 50,000 บาท จากเจ้าหนี้ร่วม แล้วให้จดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 1089 ตำบลวังกะแจะ อำเภอเมืองตราดจังหวัดตราด คืนให้แก่เจ้าหนี้ร่วมโดยปลอดจากการจำนอง หากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และผู้ชำระบัญชีของห้างฯ ไม่มีเงินจากกองทรัพย์สินของห้างฯ พอที่จะทำการไถ่ถอนจำนอง ให้ลูกหนี้ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างฯ รับผิดในหนี้ของห้างฯ ลูกหนี้จึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว เมื่อปรากฏว่ากองทรัพย์สินของห้างฯไม่มีเงินพอที่จะไปทำการไถ่ถอนหนี้จำนองและธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การจำกัด ผู้รับจำนองในฐานะเจ้าหนี้มีประกันได้ยื่นขอรับชำระหนี้จำนองจำนวน 8,525,877.08 บาท ลูกหนี้ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างฯ จึงต้องรับผิดในหนี้จำนวนนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองให้เจ้าหนี้ร่วมได้รับชำระหนี้ส่วนนี้จากกองมรดกของลูกหนี้ชอบแล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เจ้าหนี้ทั้งสองรับชำระหนี้เงินปันผลกำไรจำนวน 2,344,179.74 บาท กับค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในชั้นชำระบัญชีเป็นเงิน 5,500 บาท ร่วมกันจากกองมรดกของลูกหนี้

Share