คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6053/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามสัญญาเช่าซื้อระบุว่าเมื่อเจ้าของยึดทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนมาได้แล้ว เจ้าของอาจเลือกใช้สิทธิที่จะนำทรัพย์สินที่เช่าซื้อออกขายและผู้เช่าซื้อให้สัญญาว่าหากราคาทรัพย์สินที่เช่าซื้อซึ่งได้ขายไปไม่พอชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว ผู้เช่าซื้อยอมชำระเงินจำนวนที่ยังขาดอยู่อีกให้กับเจ้าของจนครบ ข้อสัญญานี้เป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่ง มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ และไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงใช้บังคับได้ไม่เป็นโมฆะ และปรากฏตามคำบรรยายฟ้องว่ารถยนต์ที่เช่าซื้ออยู่ในสภาพเสียหายมาก เนื่องจากการใช้โดยปราศจากความระมัดระวังเยี่ยงวิญญูชนของจำเลย จึงควรต้องสืบพยานโจทก์จำเลยฟังข้อเท็จจริงต่อไปประกอบการพิจารณาของศาลในการกำหนดเบี้ยปรับให้เป็นจำนวนพอสมควร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกจากโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2, ที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาผู้เช่าซื้อผิดนัดโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแล้ว ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่า ได้ชำระเงินเพียงพอกับค่าเสียหายแล้ว สัญญาเช่าซื้อที่ให้ค่าเสียหายไม่ชอบศาลชั้นต้นงดสืบพยานพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่ จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาว่าการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยาน และพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยว่าเงื่อนไขตามข้อ 9ในสัญญาเช่าซื้อตามเอกสารหมายเลข 4 ท้ายฟ้องนั้น ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 อันเป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนย่อมตกเป็นโมฆะโจทก์จึงไม่มีอำนาจที่จะฟ้องบังคับจำเลยให้ต้องรับผิดตามเงื่อนไขอันขัดต่อกฎหมายนั้นได้ คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นการชอบหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าโจทก์ฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารท้ายฟ้องข้อ 9 ซึ่งมีข้อความว่า “เมื่อเจ้าของยึดทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนมาได้แล้ว เจ้าของอาจเลือกใช้สิทธิที่จะนำทรัพย์สินที่เช่าซื้อออกขาย…และผู้เช่าซื้อให้สัญญาว่า หากราคาทรัพย์สินที่เช่าซื้อซึ่งได้ขายไปไม่พอชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว ผู้เช่าซื้อยอมชำระเงินจำนวนที่ยังขาดอยู่อีกให้กับเจ้าของจนครบ” และตามคำให้การของจำเลยก็อ้างเพียงว่าสัญญาข้อ 4 ไม่ชอบด้วยกฎหมายและศีลธรรม จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้ตกลงสมัครใจทำสัญญาดังกล่าวเอง และข้อความในสัญญาข้อ 9 นี้ ถือได้ว่า เป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่ง มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับในกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อและผู้ให้เช่าซื้อต้องติดตามยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมา แล้วนำรถยนต์ออกขาย โดยจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้เช่าซื้อสัญญาจะชำระเงินที่ยังขาดอยู่ให้ผู้ให้เช่าซื้อ ข้อสัญญาเช่นนี้ไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ประการใด จึงใช้บังคับได้ ไม่เป็นโมฆะ และปรากฏตามคำบรรยายฟ้องว่า รถยนต์ที่เช่าซื้ออยู่ในสภาพเสียหายมาก เนื่องจากการใช้โดยปราศจากความระมัดระวังเยี่ยงวิญญูชนของจำเลยที่ 1จึงควรต้องสืบพยานโจทก์จำเลยฟังข้อเท็จจริงต่อไปเพื่อประกอบการพิจารณาของศาลในการกำหนดเบี้ยปรับให้เป็นจำนวนพอสมควร ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share