คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 501-504/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถของจำเลยที่ 1 ได้รับคำสั่งจากจำเลยที่ 1 ให้ขับรถบรรทุกน้ำมันไปส่งที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว โดยใช้เส้นทางถนนพหลโยธินและถนนมิตรภาพไปถึงจังหวัดหนองคายแต่หลังจากส่งน้ำมันเสร็จ ขากลับจำเลยที่ 2 ขับรถมาถึงจังหวัดนครราชสีมาแล้วก็แยกเข้าถนนสายนครราชสีมา-กบินทร์บุรีเพื่อจะกลับมายังบางนางเกรง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นที่จอดรถโดยไม่ใช้เส้นทางเดิมอันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งและระเบียบของจำเลยที่ 1แล้วเกิดเหตุชนกับรถยนต์อื่นที่อำเภอเมืองชลบุรี แม้จำเลยที่ 2 จะขับรถออกนอกเส้นทาง ก็ยังถือได้ว่าการปฏิบัติงานของจำเลยที่ 2 ที่ได้กระทำไปนั้นอยู่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นนายจ้างจำเลยที่ 1 จะอ้างคำสั่งหรือระเบียบภายในขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกหาได้ไม่ จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ในผลแห่งละเมิดด้วย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1716-1717/2503)

ย่อยาว

คดี 4 สำนวนนี้ศาลรวมพิจารณาพิพากษา โดยโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกน้ำมัน ก.ท.ก.5518 จำเลยที่ 2ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์ดังกล่าวในทางการที่จ้างด้วยความประมาท ชนรถยนต์เก๋งของโจทก์สำนวนที่ 4 ซึ่งมีนายล้อมหรือบุญล้อม ใบเตย บุตรของโจทก์สำนวนที่ 2 เป็นคนขับ และนายนันท์สามีและบิดาโจทก์ในสำนวนที่ 1 และนายสมานโจทก์สำนวนที่ 3 โดยสารมาในรถ เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์สำนวนที่ 4 เสียหายนายน้อมนายนันท์ตาย และโจทก์สำนวนที่ 3 บาดเจ็บ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้ง 4 สำนวน

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 2 นำรถไปส่งน้ำมันแล้วไม่นำรถกลับ แต่ยักยอกหรือให้ผู้อื่นนำรถไปจังหวัดชลบุรีซึ่งนอกเส้นทางในการจ้าง จำเลยที่ 1 ไม่ต้องร่วมรับผิด และต่อสู้ว่าค่าเสียหายของโจทก์สูงเกินความจริง

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์สำนวนแรก 153,900 บาท โจทก์สำนวนที่ 2เป็นเงิน 40,000 บาท โจทก์สำนวนที่ 3 เป็นเงิน 32,500 บาท กับค่าขาดรายได้เนื่องจากไม่สามารถประกอบอาชีพได้เต็มที่ดังเดิมอีกเดือนละ 1,500 บาท เป็นเวลา 2 ปี นับแต่วันฟ้อง และให้โจทก์สำนวนที่ 4 เป็นเงิน 20,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี (เว้นแต่ค่าขาดรายได้ในสำนวนที่ 3) นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 1 ทั้ง 4 สำนวนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ทั้ง 4 สำนวนฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ในสำนวนแรกเป็นภรรยาและบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายนันท์ โชตนะ โจทก์ในสำนวนที่ 2เป็นมารดาของนายล้อมหรือบุญล้อม ใบเตย โจทก์ในสำนวนที่ 4 เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ค 7398 จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกน้ำมันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ก 5518 จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 และมีหน้าที่ขับรถยนต์บรรทุกน้ำมันหมายเลขทะเบียนก.ท.ก 5518 วันเกิดเหตุ นายบุญล้อมหรือล้อม ใบเตย ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ค. 7398 ของโจทก์ในสำนวนที่ 4 นำโจทก์ในสำนวนที่ 3 กับนายนันท์ โชตนะ จากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดชลบุรีตามถนนสุขุมวิท แล้วได้ชนกับรถบรรทุกน้ำมันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ก 5518 ของจำเลยที่ 1 ซึ่งกลับจากส่งน้ำมันที่ประเทศลาว ขณะแล่นจากจังหวัดชลบุรีมากรุงเทพฯ ตรงระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 91-92 ตำบลบางทราบ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เป็นเหตุให้นายล้อมหรือบุญล้อม ใบเตย กับนายนันท์ โชตนะ ถึงแก่ความตายทันที และโจทก์ในสำนวนที่ 3 ได้รับบาดเจ็บสาหัส รถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ค 7398ของโจทก์ในสำนวนที่ 4 พังยับเยินใช้การไม่ได้

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า เหตุที่รถชนกันในคดีนี้เกิดขึ้นเพราะความประมาทของคนขับรถของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นคนขับรถของจำเลยที่ 1 ขณะเกิดเหตุ

ในประเด็นที่ว่า การที่จำเลยที่ 2 ขับรถมาเกิดเหตุขึ้นเช่นนี้เป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 หรือไม่ นั้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนขับรถคันเกิดเหตุดังวินิจฉัยแล้ว และจำเลยที่ 2 ขับรถกลับจากส่งน้ำมันของจำเลยที่ 1 และมาเกิดเหตุคดีนี้ในระหว่างเดินทางกลับย่อมเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่าเส้นทางเดินของรถซึ่งบรรทุกน้ำมันไปส่งที่ประเทศลาวทั้งไปและกลับใช้เส้นทางถนนพหลโยธิน ถนนมิตรภาพ ไปถึงจังหวัดหนองคาย แต่ขากลับถ้าไม่ใช้เส้นทางเดิมอาจใช้เส้นทางใหม่ได้ คือเมื่อถึงจังหวัดนครราชสีมาแล้วก็แยกเข้าถนนสายนครราชสีมา-กบินทร์บุรี ผ่านจังหวัดฉะเชิงเทรา แล้วเลี้ยวเข้า จังหวัดสมุทรปราการ ไปยังบางนางเกรงซึ่งเป็นที่จอดรถ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านจังหวัดชลบุรี แต่จำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้อนุญาตให้ใช้เส้นทางนี้ เพราะทางไม่สะดวกขึ้นเขาสูง เปลี่ยว ระยะทางไกลกว่าเส้นทางที่กำหนดและไม่ปลอดภัย เพราะมีคนร้ายคอยดักปล้นจี้และฆ่าบ่อย ๆ ดังนั้น ที่เกิดเหตุจึงอยู่นอกเส้นทางที่จำเลยที่ 1 จ้าง ทั้งจำเลยที่ 1 ได้ออกคำสั่งและระเบียบให้คนขับรถปฏิบัติตามไว้แล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 2ขับรถมาและเกิดเหตุขึ้นนั้น สืบเนื่องจากจำเลยที่ 2 ได้รับคำสั่งจากจำเลยที่ 1 ให้ขับรถบรรทุกน้ำมันคันเกิดเหตุ บรรทุกน้ำมันไปส่งที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว จำเลยที่ 2 ได้ขับรถบรรทุกน้ำมันไปส่งที่ประเทศลาวเสร็จแล้วก็ขับรถเพื่อจะกลับบริษัทจำเลยที่ 1 ระหว่างทางขากลับจึงได้เกิดเหตุคดีนี้ถึงหากจะฟังว่าจำเลยที่ 2 ขับรถออกนอกเส้นทางตามที่จำเลยที่ 1 อ้างจริง ก็ยังถือได้ว่าการปฏิบัติงานของจำเลยที่ 2 ลูกจ้างที่ได้กระทำไปนั้นอยู่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นนายจ้าง ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1716-1717/2503 คดีระหว่างนางม้วน วรรณะลี และนางกลีบ ฉันทะลักษณะ โจทก์ นายสำเริง ชัยเอ็ง กับพวก จำเลย จำเลยที่ 1 จะอ้างคำสั่งหรือระเบียบภายในขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหาได้ไม่ จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ในผลแห่งละเมิดด้วย

ในประเด็นเรื่องค่าเสียหาย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับศาลล่าง

พิพากษายืน

Share