คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6050/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท คู่ความต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง คดีมีประเด็นตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันสมควรหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง ไม่เคยได้รับหมายเรียกสำเนาคำฟ้องและหมายนัดสืบพยานโจทก์ เพราะจำเลยพักรักษาตัวอยู่ที่อื่น ไม่ได้อยู่ที่บ้านตามที่เจ้าพนักงานศาลนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปปิดนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยคืนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 104 ครึ่งหนึ่งแก่โจทก์ โดยให้โจทก์ได้คืนส่วนด้านที่มีบ้านเลขที่ 51 ปลูกอยู่และให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่พิพาทให้แก่โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ว่า จำเลยไม่ได้รับสำเนาฟ้องและหมายเรียก จนวันที่ 4 กันยายน 2533 จำเลยได้รับหนังสือจากที่ดินอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้จำเลยนำหลักฐาน น.ส.3 ก. เลขที่ 104 เพื่อไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยจึงมอบให้ทนายความไปตรวจสอบจึงทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องซึ่งปรากฏว่าการส่งสำเนาฟ้องและหมายเรียกได้ส่งที่บ้านที่โจทก์มีภูมิลำเนาซึ่งจำเลยมิได้อยู่อาศัยโดยไปพักอาศัยที่เรือนหลังเล็กอยู่ห่างออกไปประมาณ 100 เมตร ประมาณ 1 ปี พร้อมกับบิดาไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับโจทก์ ดังนั้นการส่งหมายและสำเนาฟ้องจึงเป็นการส่งแก่คู่ความฝ่ายปรปักษ์ (โจทก์) จึงเป็นการส่งหมายและสำเนาฟ้องมิชอบและระหว่างที่การส่งหมายนั้น จำเลยไปรักษาตัวอยู่ที่บ้านนางเลียบวัดล้อม เนื่องจากถูกพี่ชายทำร้าย ซึ่งหากว่าจำเลยทราบว่าถูกฟ้องคดี จำเลยมีข้อต่อสู้เนื่องจากจำเลยไม่เคยประพฤติเนรคุณไม่เคยด่าว่าโจทก์ และโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะถอนการให้ เพราะโจทก์ไม่ได้ให้ที่ดินพิพาทแก่จำเลย แต่จำเลยได้รับการยกให้จากบิดา ซึ่งบิดาได้รับมาก่อนที่จะอยู่กินและสมรสกับโจทก์คดีของจำเลยมีสิทธิชนะคดีโจทก์ได้ ขอให้ยกคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่
โจทก์แถลงคัดค้านว่า จำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องของโจทก์โดยชอบแล้ว และจำเลยไม่ได้กล่าวคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207, 208ที่ดินพิพาทโจทก์และบิดาจำเลยทำมาหากินร่วมกันมาย่อมมีสิทธิคนละครึ่ง จำเลยประพฤติเนรคุณ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท คู่ความจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา248 วรรคหนึ่ง ซึ่งใช้บังคับในขณะที่จำเลยยื่นฎีกา คดีมีประเด็นตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันสมควรหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง ไม่เคยได้รับหมายเรียกสำเนาคำฟ้องและหมายนัดสืบพยานโจทก์ เพราะจำเลยพักรักษาตัวอยู่ที่อื่นไม่ได้อยู่ที่บ้านตามที่เจ้าพนักงานศาลนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปปิดนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาให้ยกฎีกาของจำเลย

Share