คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 605/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเสมียนตราจังหวัดมีหน้าที่รับจ่ายและเก็บรักษาเงินของราชการส่วนจังหวัดและราชการส่วนอื่น ๆ โดยเจตนาทุจริตเบียดบังยักยอกเงินที่ตนรับไว้ในตำแหน่งหน้าที่เป็นประโยชน์ส่วนตน ย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ไม่ใช่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และเมื่อเป็นความผิดตามมาตรา 147 แล้ว ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 157 อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยในตำแหน่งข้าราชการเสมียนตราจังหวัด สังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่รับจ่าย เก็บรักษาเงินของที่ทำการปกครองจังหวัดและเงินของทางราชการ ซึ่งมิได้อยู่ในหน้าที่ของแผนกใดรวมทั้งเงินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เบียดบังยักยอกเงินในหน้าที่ดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว โดยทุจริต รวม ๕ รายการ อันเป็นเงินค่าฌาปนกิจ เงินยืมทดรองราชการ เงินแผนกคลังจังหวัด และเงินค่าเช่าอาคารสงเคราะห์ รวมทั้งสิ้น ๑๕,๗๖๐.๘๐ บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗, ๑๕๑, ๑๕๗, ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๓, ๗, ๑๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยทุจริตยักยอกเงินรายการข้อ (ข) ตามฟ้อง รายการเดียวไปเป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท โดยรับเงินยืมทดรองส่งคืนจำนวน ๖,๘๒๑ แต่ลงรับไว้เพียง ๑,๘๒๑ บาท รายการอื่น ๆ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตยักยอกไป พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๗ ให้จำคุกไว้มีกำหนด ๕ ปี คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า เงินอีก ๓ รายการที่โจทก์ติดใจอุทธรณ์ขึ้นมา จำเลยมีเจตนาทุจริตยักยอกไปด้วย และวินิจฉัยความผิดตามมาตรา ๑๔๗ และ ๑๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๓ และ ๑๓ ซึ่งโจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวอีกด้วยว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รักษาเงินราชการแล้วเจตนาทุจริตเบียดบังยักยอกเงินในอำนาจหน้าที่ของตนไปเป็นของตน กรณีต้องด้วยความผิดตามมาตรา ๑๕๗ และเมื่อกรณีต้องด้วยมาตรา ๑๔๗ แล้ว ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๑๕๗ และกรณีไม่ต้องด้วยความผิดตามมาตรา ๑๕๑ ดังที่ศาลชั้นต้นปรับบทพิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดฐานทุจริตยักยอกเงิน ๓ รายการตามที่โจทก์อุทธรณ์ด้วย ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๓ คงให้วางโทษจำคุกจำเลยไว้ ๕ ปี ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาฝ่ายเดียวว่าการกระทำของจำเลยยังเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ และมาตรา ๑๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๗ และ ๑๓ ตามลำดับด้วย
ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ซึ่งพิพากษาปรับบทว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ เพราะมาตรา ๑๔๗ เป็นเรื่องเบียดบังตัวทรัพย์ที่อยู่ในหน้าที่ หรืออีกนัยหนึ่งเอาตัวทรัพย์นั้นไปเป็นประโยชน์ ซึ่งตรงกับกรณีของจำเลยในคดีนี้ ส่วนความผิดตามมาตรา ๑๕๑ เป็นเรื่องที่ผู้กระทำผิดมิได้เอาทรัพย์ในอำนาจหน้าที่ไว้เป็นประโยชน์หรือเอาตัวทรัพย์นั้นเสีย หากแต่อาศัยตำแหน่งหน้าที่ที่ตนมีเกี่ยวกับทรัพย์อันใดอันหนึ่ง หาประโยชน์อื่นนอกเหนือจากการเอาทรัพย์นั้น ซึ่งกรณีของจำเลยไม่ต้องด้วยความผิดตามบทมาตรานี้ และเมื่อจำเลยมีความผิดตามมาตรา ๑๔๗ ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๑๕๗ ซึ่งถือเป็นบททั่วไปอีกด้วย ดังนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๘๔/๒๕๐๕
พิพากษายืน

Share