คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6045/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอมนั้นคำพิพากษาย่อมผูกพันโจทก์ หากโจทก์เห็นว่าไม่ชอบอย่างไรก็อาจที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวได้ เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์และคดีถึงที่สุดแล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2533 จำเลยที่ 1 ได้ยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 631/2533 หมายเลขแดงที่ 421/2534ของศาลชั้นต้น ในข้อหาตัวแทน เพิกถอนนิติกรรมการให้ โจทก์ได้แต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 เป็นทนายความแก้ต่างในคดีดังกล่าววันที่ 6 กันยายน 2534 ซึ่งเป็นวันที่ศาลนัดสืบพยานโจทก์ในคดีนั้นโจทก์ไม่ได้ไปศาล จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งไปศาลได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์และไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบ ความว่า โจทก์(จำเลยที่ 1 ในคดีนี้)จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) ตกลงยุติข้อพิพาทในคดีนั้น โดยจำเลยที่ 1คดีนี้ยินยอมเดินทางไปขอโทษโจทก์คดีนี้ ณ ภูมิลำเนาถิ่นที่อยู่ของโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 ขอโทษโจทก์แล้ว โจทก์ยินยอมแบ่งที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 ตลอดทั้งทายาทของบิดาที่มีชื่อในฟ้องคือนางชิน เตินนายประพันธ์ เหวี่ยน นางมาลินี ปิยะประเสริฐ นายวาหรือเวนิชเหวี่ยนหรือเจริญมิตรสกุล (จำเลยที่ 1) และนายอดิศร วัฒนดำรงค์หรือวัฒนดำรง (โจทก์) ค่าใช้จ่ายในการแบ่งที่ดินพิพาทโจทก์จำเลย และทายาทตามฟ้องช่วยกันออกคนละเท่า ๆ กัน หากฝ่ายใดผิดสัญญายอมให้บังคับคดีได้ทันที ซึ่งศาลได้พิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวกระทำขึ้นโดยโจทก์มิได้มีเจตนาและให้ความยินยอม และขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ไม่สามารถใช้บังคับกันได้ กล่าวคือโจทก์กับจำเลยที่ 1ไม่ได้ตกลงกำหนดเวลาไว้ให้ชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 1 จะต้องไปขอโทษโจทก์ภายในกำหนดเวลาใด หากจำเลยที่ 1 ไปขอโทษโจทก์เมื่อพ้นกำหนดเวลาบังคับคดี 10 ปี สัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำขึ้นย่อมบังคับคดีไม่ได้ ทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 2515 ตำบลในเมืองอำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ที่จำเลยที่ 1 ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมและให้โจทก์โอนกลับมาเป็นของจำเลยที่ 1 เดิมมีเนื้อที่ดินอยู่ 1 ไร่ 2 งาน 70 ตารางวา แต่ได้มีการแบ่งแยกออกไปเป็นที่ดินแปลงอื่นแล้ว 2 ส่วน ส่วนหนึ่งคือที่ดินโฉนดเลขที่ 15724เนื้อที่ 100 ตารางวา มีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ ส่วนหนึ่งยกให้เป็นทางหลวงเทศบาลไป 2 งาน 13 ตารางวา คงเหลือเนื้อที่ดินตามโฉนดเลขที่ 2515 อยู่เพียง 3 งาน 57 ตารางวา จำเลยที่ 1 ไม่ได้ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการยกให้และการแบ่งแยกดังกล่าว เพื่อให้ที่ดินนั้นกลับมาเป็นของโจทก์ แล้วเพิกถอนนิติกรรมให้ที่ดินทั้งหมดกลับมาเป็นของจำเลยที่ 1 เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำขึ้นไม่ได้ระบุไว้ให้ชัดเจนว่า ที่ดินที่โจทก์จะต้องแบ่งให้จำเลยที่ 1และทายาทของบิดาโจทก์และจำเลยที่ 1 จะพึงแบ่งกันอย่างไร โจทก์จึงไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้เนื่องจากที่ดินตามโฉนดเลขที่ 2515 ที่จำเลยที่ 1 ฟ้องขอแบ่งเหลือเนื้อที่ดินอยู่น้อยกว่าจำนวนที่จำเลยที่ 1 เรียกร้องสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ ขอให้พิพากษาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 6 กันยายน 2534 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ตกเป็นโมฆะ ให้เพิกถอนคำพิพากษาซึ่งพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับดังกล่าวเสีย ให้ศาลชั้นต้นนำคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 421/2534 มาทำการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้ว มีคำสั่งว่า เมื่อโจทก์จำเลยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 421/2534 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล ศาลได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีนั้นจะมาฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ เพราะโจทก์เป็นคู่ความซึ่งต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีนั้นจึงให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาทีจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 และที่ 1ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยที่ 2 มิได้รับความยินยอมจากโจทก์ จึงเป็นการทำโดยปราศจากอำนาจและนอกเหนือไปจากการแต่งตั้งให้เป็นทนายความ และสัญญาประนีประนอมยอมความขัดต่อกฎหมายและความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม และพ้นกำหนดระยะเวลาฎีกาแล้วโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอมนั้นคำพิพากษาย่อมผูกพันโจทก์ หากโจทก์เห็นว่าไม่ชอบอย่างไรก็อาจที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวได้ เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์และคดีถึงที่สุดแล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องต้องกันมานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share