คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 26/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์นำยึดที่ดินของผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอก มิใช่เป็นที่ดินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา การบังคับคดีจึงฝ่าฝืนบทบัญญัติ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยการบังคับคดี ผู้ร้องย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลยกเลิกการบังคับคดีนั้นได้ก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลงแต่ต้องไม่ช้ากว่า8 วัน นับแต่ทราบการฝ่าฝืนตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสอง เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไปจึงถือว่าการบังคับคดียังไม่เสร็จสิ้นลง ผู้ร้องทราบว่าโจทก์นำยึดที่ดินของตนไปขายทอดตลาดแล้วได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดในวันรุ่งขึ้น จึงเป็นการยื่นภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เมื่อการขายทอดตลาดเป็นการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนกฎหมายซึ่งศาลจะต้องสั่งเพิกถอนตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสอง ย่อมส่งผลให้การขายทอดตลาดสิ้นผลไปแม้ผู้ซื้อทรัพย์จะได้ซื้อโดยสุจริตในการขายทอดตลาดก็ไม่มีสิทธิได้รับความคุ้มครองตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดสระบุรี) พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้อง จำเลยทั้งสามทราบคำบังคับให้ชำระเงินแล้วไม่ชำระ โจทก์ขอหมายบังคับคดีและขอให้ศาลจังหวัดสระบุรีส่งสำนวนมาให้ศาลจังหวัดชลบุรีช่วยบังคับคดีให้และโจทก์ได้นำยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2258 ตำบลบ้านเหมือง อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรีโดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยที่ 3 เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการขายทอดตลาดที่ดินแปลงดังกล่าวเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2531 และนายตรีขวัญ บุนนาคเป็นผู้ซื้อได้ในราคา 180,000 บาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องกับจำเลยที่ 3 เป็นคนละคนกันผู้ร้องชื่อนายสนิท สาคร ส่วนจำเลยที่ 3 ชื่อนายสนิท สากรผู้ร้องไม่เคยเป็นหนี้โจทก์และไม่เคยรู้จักโจทก์และจำเลยทั้งสามมาก่อน ทรัพย์ที่ยึดและขายทอดตลาดไปนั้นไม่ใช่เป็นของจำเลยที่ 3แต่เป็นของผู้ร้อง ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เพิกถอนการขายทอดตลาดและถอนการยึด สั่งปล่อยทรัพย์รายนี้ให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์คัดค้านว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของจำเลยที่ 3 ทรัพย์ที่ยึดขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2531 ผู้ร้องมาร้องเมื่อวันที่3 สิงหาคม 2531 ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 และร้องเกินกำหนดเวลาตามมาตรา 296 ขอให้ยกคำร้อง
ผู้ซื้อทรัพย์คัดค้านว่า ผู้ซื้อทรัพย์ได้ซื้อทรัพย์รายนี้โดยสุจริตจากการขายทอดตลาดของศาลย่อมได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของผู้ร้องแล้วมีคำสั่งว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นคนละคนกับจำเลยที่ 3 และผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินทรัพย์ที่ยึดไว้ ที่ดินดังกล่าวเจ้าพนักงานบังคับคดียึดและประกาศขายทอดตลาดรวม 2 ครั้ง โดยเจ้าพนักงานขายทอดตลาดที่ดินแปลงนี้แก่นายตรีขวัญ บุนนาค เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2531เป็นเงิน 180,000 บาท ซึ่งผู้ซื้อชำระเงินครบถ้วนแล้ว เห็นว่าผู้ร้องยื่นคำร้องเมื่อกำหนดระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 และ 296 ผ่านพ้นไปแล้ว จึงให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ที่ดินของผู้ร้องและยกเลิกการขายทอดตลาดทรัพย์รายนี้ตลอดจนคำสั่งทั้งหลายของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการบังคับคดีครั้งนี้และปล่อยทรัพย์ที่ดินคืนให้แก่ผู้ร้องไป
ผู้ซื้อทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์ว่าผู้ร้องได้ยื่นคำร้องดังกล่าวภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ และผู้ซื้อทรัพย์มีสิทธิจะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 หรือไม่ สำหรับประเด็นแรกนั้น ที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ใช่ของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา การบังคับคดีรายนี้จึงฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ลักษณะ 2ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ผู้ร้องในฐานะผู้มีส่วนได้เสียซึ่งต้องเสียหายในการบังคับคดีนั้นย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกกระบวนวิธีการบังคับคดีนั้นได้ก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง แต่ต้องไม่ช้ากว่า 8 วันนับแต่ทราบการฝ่าฝืนนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296วรรคสอง ซึ่งข้อเท็จจริงในคดีนี้ก็ปรากฏอยู่แล้วว่า การบังคับคดียังไม่เสร็จสิ้นลงเพราะโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายังไม่ได้รับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไป นอกจากนี้ได้ความตามคำเบิกความของผู้ร้องว่า ผู้ร้องเพิ่งทราบแน่ชัดว่าที่ดินของตนถูกยึดไปขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2531 โดยได้ไปตรวจดูหลักฐาน ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี แล้วได้มายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2531 ส่วนที่นางหมวย สาคร ภรรยาผู้ร้องเบิกความว่า ทราบข่าวว่าที่ดินของผู้ร้องถูกยึดเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2531 แต่พยานไม่แน่ใจเพราะโฉนดยังอยู่กับพยานไม่มีผู้ใดเอาไปได้นั้น เห็นว่าข้อที่นางหมวยทราบมาเป็นเพียงข่าวและนางหมวยไม่ได้เชื่อข่าวนั้นและยังเบิกความอีกว่าไม่ได้บอกให้ผู้ร้องทราบแต่อย่างใด ดังนี้จะถือว่าผู้ร้องได้ทราบเรื่องการยึดทรัพย์และขายทอดตลาดที่ดินของตนตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2531 ดังที่ผู้ซื้อทรัพย์ฎีกาไม่ได้ข้อเท็จจริงเป็นอันฟังได้ว่า การที่โจทก์นำยึดที่ดินของผู้ร้องไปขายทอดตลาดนั้น ผู้ร้องเพิ่งทราบเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2531โดยการไปตรวจดูหลักฐาน ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี ผู้ร้องยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2531 ฉะนั้น จึงเป็นการยื่นภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ ส่วนประเด็นที่สองที่ว่า ผู้ซื้อทรัพย์มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1330 หรือไม่นั้น เห็นว่า การขายทอดตลาดรายนี้เป็นการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนกฎหมายซึ่งศาลจะต้องสั่งเพิกถอนเสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง และย่อมส่งผลให้การขายทอดตลาดสิ้นผลไป ฉะนั้น แม้ผู้ซื้อทรัพย์จะได้ซื้อที่ดินโดยสุจริตในการขายทอดตลาดก็ตาม แต่เมื่อการขายทอดตลาดต้องถูกเพิกถอนไป ผู้ซื้อทรัพย์ก็ไม่มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share