คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11165/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน และเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์เป็นผู้รับสิทธิทำประโยชน์ในที่ดินจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โจทก์ขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ ท. เมื่อปี 2546 แล้ว ท. สละการครอบครองให้จำเลยทั้งสองเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา แม้ก่อนฟ้องโจทก์กับ ท. ได้ทำบันทึกข้อตกลงว่าโจทก์จะคืนเงินให้แก่ ท. 110,000 บาท และ ท. จะคืนที่ดินพิพาทให้โจทก์ แต่โจทก์ก็มิได้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวคืนให้แก่ ท. แต่อย่างใด การที่โจทก์กลับมาอ้างเป็นผู้มีสิทธิตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4 – 01 ก.) และมาฟ้องขอให้บังคับขับไล่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิจาก ท. จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาท

(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2558)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและห้ามยุ่งเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าว หากไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการรื้อถอนและขนย้าย โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 8,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและส่งมอบให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท เนื้อที่ 9 ไร่ 1 งาน 74 ตารางวา ตามแผนที่แสดงแนวเขตแปลงที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินแปลงเลขที่ 77 ตำบลอุดมทรัพย์ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ถึงแก่ความตาย นางแวว ทายาทของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 9 ไร่ 1 งาน 74 ตารางวา เป็นที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน และเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์เป็นผู้รับสิทธิทำประโยชน์ในที่ดินจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ วันที่ 21 มีนาคม 2546 โจทก์ขายที่ดินพิพาทพร้อมสละการครอบครองให้นายเที่ยง หลังจากนั้นนายเที่ยงสละการครอบครองให้จำเลยทั้งสอง นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับนายเที่ยง ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 เนื่องจากเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ต่อมาวันที่ 16 มกราคม 2555 โจทก์กับนายเที่ยงได้ทำบันทึกข้อตกลงว่าโจทก์จะคืนเงินให้แก่นายเที่ยง 110,000 บาท และนายเที่ยงจะคืนที่ดินพิพาทให้โจทก์ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ได้สละการครอบครองที่ดินพิพาทโดยการขายให้นายเที่ยงแล้ว โจทก์จึงมิใช่ผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทในอันที่จะฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินต่อจากนายเที่ยง โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองโดยไม่สุจริต ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า โจทก์ขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่นายเที่ยงเมื่อปี 2546 แล้วนายเที่ยงสละการครอบครองให้จำเลยทั้งสองเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา แม้ก่อนฟ้องโจทก์กับนายเที่ยงได้ทำบันทึกข้อตกลงว่าโจทก์จะคืนเงินให้แก่นายเที่ยง 110,000 บาท และนายเที่ยงจะคืนที่ดินพิพาทให้โจทก์ แต่โจทก์ก็มิได้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวคืนให้แก่นายเที่ยงแต่อย่างใด การที่โจทก์กลับมาอ้างเป็นผู้มีสิทธิตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4 – 01 ก.) และมาฟ้องขอให้บังคับขับไล่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิจากนายเที่ยง จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทและกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นตามฎีกาข้ออื่นของจำเลยทั้งสองอีก เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป แม้จำเลยทั้งสองจะไม่มีสิทธิทำกินในที่ดินพิพาท ก็เป็นกรณีที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมทราบ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share