คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 233/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่า มีผู้ประสงค์เงินสินบนนำจับนำเจ้าพนักงานไปจับกุมจำเลย ศาลจึงไม่อาจมีคำสั่งให้จ่ายเงินสินบนนำจับให้แก่ผู้นำจับได้

ย่อยาว

จำเลยทั้งสาม ฎีกาคัดค้าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9ลงวันที่ 3 เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช 2543 ศาลฎีกา รับวันที่ 28เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช 2543

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 27 มิถุนายน 2542 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2542 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสามร่วมกันทำไม้ยางซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. โดยใช้เครื่องเลื่อยโซ่ยนต์ทำการเลื่อย ตัดฟันต้นยาง 1 ต้น แล้วทอนเป็นท่อนจำนวน 1 ท่อน โดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันแปรรูปไม้ยางโดยใช้เครื่องเลื่อยโซ่ยนต์และเลื่อยวงเดือนเข้าทำการเลื่อยแปรรูปไม้ท่อนดังกล่าวให้เป็นแผ่นจำนวน 110 แผ่น ปริมาตรรวม2.76 ลูกบาศก์เมตร และร่วมกันมีไม้ยางแปรรูปดังกล่าวไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ โดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุทั้งหมดเกิดที่ตำบลนาท่อม อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง และระหว่างวันเดือนใดไม่ปรากฏชัดในปี 2537 ถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2542 เวลากลางวัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัดมีผู้ลักลอบนำพาเครื่องเลื่อยโซ่ยนต์แบบมือถือ จำนวน 1 เครื่อง ราคา 4,000บาท ซึ่งเป็นของต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงค่าภาษีอากรขาเข้าจำนวน 1,564 บาท รวมราคาของและค่าอากรเข้าด้วยกันแล้วเป็นเงิน5,564 บาท อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ต่อมาเจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสามได้พร้อมเครื่องเลื่อยโซ่ยนต์พร้อมไม้ยางแปรรูปจำนวนดังกล่าว เลื่อยวงเดือน1 วง ขวาน 1 เล่ม มีดพร้า 1 เล่ม จอบ 1 เล่ม ค้อน 1 อัน แกลลอนใส่น้ำและน้ำมัน 4 ใบ และรถยนต์ 1 คัน ซึ่งใช้ในการกระทำผิดเป็นของกลางทั้งนี้จำเลยทั้งสามร่วมกันลักลอบนำพาเครื่องเลื่อยโซ่ยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงค่าภาษีอากรดังกล่าว หรือมิฉะนั้นร่วมกันซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ซึ่งเครื่องเลื่อยโซ่ยนต์ของกลาง และช่วยพาเอาไปเสีย ช่วยจำหน่าย ช่วยซ่อนเร้นซึ่งของดังกล่าวโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ผู้อื่นลักลอบนำพาหนีภาษีศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบล อำเภอ จังหวัดใดไม่ปรากฏชัดและตำบลนาท่อม อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เกี่ยวพันกันขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 6, 7, 11, 47,48, 69, 73, 74, 74 ทวิ, 74 จัตวา, 75 พระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 5, 20, 24พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 27 ทวิ พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 4, 5,6, 7, 8, 9 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 ริบของกลาง จ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับและรางวัลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้จับกุมตามกฎหมาย

จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ รับสารภาพในข้อหารับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ข้อห้ามหรือข้อจำกัด

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 6, 7, 11 วรรคหนึ่ง,48, 69, 73, 74, 74 ทวิ, 74 จัตวา พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 27 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำไม้จำคุก 1 ปี ฐานแปรรูปไม้จำคุก 1 ปี ฐานมีไม้แปรรูป จำคุก 1 ปี ฐานรับไว้ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลักเลี่ยงอากร ข้อห้ามหรือข้อจำกัด จำคุก3 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 3 เดือน จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 7 เดือน 15 วัน ริบของกลาง ให้จำเลยทั้งสามจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับและจ่ายรางวัลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายส่วนข้อหาลักลอบนำของเข้าหลีกเลี่ยงภาษีอากรให้ยก

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน

จำเลยทั้งสามฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำเลยทั้งสามฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า แม้จำเลยทั้งสามใช้เครื่องเลื่อยโซ่ยนต์ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำไม้และแปรรูปไม้แต่ปรากฏตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติว่า ไม้ยางที่จำเลยทั้งสามร่วมกันแปรรูปนั้นอยู่ในเขตที่ดินของนายสนิทณ พัทลุง ญาติจำเลยที่ 1 มิได้ขึ้นอยู่ในป่า ทั้งนายสนิทก็อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ตัดไม้ได้ เพียงแต่จำเลยที่ 1 มิได้ดำเนินการขออนุญาตทำไม้และแปรรูปไม้ให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น พฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่ร้ายแรงนัก ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนเห็นสมควรให้โอกาสแก่จำเลยทั้งสามกลับตัวประพฤติตนเป็นพลเมืองดีต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยทั้งสามนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังขึ้น แต่เพื่อให้จำเลยทั้งสามหลาบจำไม่หวนกลับไปกระทำความผิดซ้ำอีก เห็นสมควรลงโทษปรับอีกสถานหนึ่งและคุมความประพฤติจำเลยทั้งสามไว้ด้วย

อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 69 ด้วยนั้นไม่ถูกต้อง เนื่องจากความผิดดังกล่าวเป็นกรณีมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป โดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย ซึ่งโจทก์มิได้บรรยายมาในฟ้อง จึงไม่อาจพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามบทมาตราดังกล่าวได้ และที่ศาลล่างทั้งสองสั่งจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมายนั้นก็ไม่ถูกต้องเช่นกันเพราะตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่ามีผู้ประสงค์เงินสินบนนำจับนำเจ้าพนักงานไปจับกุมจำเลยทั้งสามจึงไม่อาจจ่ายเงินสินบนนำจับให้แก่ผู้นำจับได้ ปัญหาทั้งสองกรณีดังกล่าวแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง

พิพากษาแก้เป็นว่า ในความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 11 วรรคหนึ่ง, 48 วรรคหนึ่ง, 73 วรรคสอง (1) และให้ปรับจำเลยทั้งสามอีกสถานหนึ่ง โดยฐานทำไม้ ปรับคนละ 10,000 บาทฐานแปรรูปไม้ ปรับคนละ 10,000 บาท ฐานมีไม้แปรรูป ปรับคนละ 10,000 บาท รวมปรับคนละ 30,000 บาท ฐานรับไว้ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ข้อห้ามหรือข้อจำกัด ปรับจำเลยทั้งสามรวม 22,256 บาท จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงปรับจำเลยทั้งสามคนละ 15,000 บาท และปรับจำเลยทั้งสามรวม11,128 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี คุมความประพฤติจำเลยทั้งสามไว้มีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลยทั้งสามไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้ง กับให้จำเลยทั้งสามทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่จำเลยทั้งสามและพนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร มีกำหนด 30 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกคำขอให้จ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share