คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6045/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ไม่นาน จำเลยเคยถูกนักเรียนโรงเรียนเดียวกับผู้เสียหายขู่บังคับเอาเข็มขัดไป การที่จำเลยขู่บังคับให้ผู้เสียหายถอดเข็มขัดให้ จึงเป็นเพราะความโกรธแค้นไม่มีเจตนาเป็นอย่างอื่น จำเลยมิได้ขู่บังคับให้ผู้เสียหายส่งนาฬิกาข้อมือและแหวนนาก ที่ผู้เสียหายสวมใส่ในขณะเกิดเหตุให้ด้วยเข็มขัดที่จำเลยเอาไปมีราคาเพียง 50 บาท ถือว่าจำเลยไม่มีเจตนาลักเข็มขัดของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ การที่จำเลยขู่บังคับให้ผู้เสียหายส่งเข็มขัดแก่จำเลยนั้นเป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายให้กระทำตามความประสงค์ของจำเลยโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายของผู้เสียหายอันเป็นความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรกศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย ข้อเท็จจริงได้ความเพียงว่าตำรวจเรียกผู้เสียหายไปสอบปากคำ2 ครั้ง ครั้งหลังตำรวจได้ไกล่เกลี่ยไม่ให้เอาเรื่อง ผู้เสียหายจึงบอกตำรวจว่าไม่ติดใจเอาเรื่อง ดังนี้ยังฟังไม่ได้ว่าผู้เสียหายได้ถอนคำร้องทุกข์หรือเป็นการยอมความกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) แล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงไม่ระงับไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยชิงทรัพย์ ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคแรก จำเลยอายุ 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งจำคุก 6 เดือน โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตาม มาตรา 339 วรรคสอง ลดมาตราส่วนโทษกึ่งหนึ่งจำคุก 5 ปี มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี4 เดือน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาโดยจำเลยไม่ได้โต้แย้งว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ17 นาฬิกา ขณะที่นายศักดิ์ชัย วิวัฒนากรชัย ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นนักเรียนอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคราชสิทธารามกำลังโดยสารรถประจำทางเพื่อกลับบ้าน โดยมีนายชัยพร ริ่นภาคแดน นั่งมาด้วยที่เบาะท้ายรถ เมื่อไปถึงป้ายโดยสารรถวัดโพธิ์เรียง จำเลยกับพวกประมาณ 6-7 คนขึ้นรถมาทางประตูด้านหลัง แล้วจำเลยเข้ามาพูดกับผู้เสียหายว่า “ถอดเข็มขัดมา ถ้าไม่ให้จะตบ” ผู้เสียหายกลัวว่าจำเลยจะทำร้ายจึงถอดเข็มขัดซึ่งคาดอยู่ที่เอว หัวเข็มขัดเป็นตราของวิทยาลัยเทคนิคราชสิทธารามส่งให้จำเลย จำเลยกับพวกนั่งรถไปอีก 2 ป้ายแล้วลงจากรถบริเวณซอยโรงเรียนพาณิชยการธนบุรีผู้เสียหายกับนายชัยพรลงรถตามไปและแจ้งความต่อตำรวจที่ป้อมยามกับชี้ให้จับกุมจำเลยได้พร้อมด้วยเข็มขัดของผู้เสียหาย มีปัญหาในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยมีเจตนาลักทรัพย์ผู้เสียหายหรือไม่ พิเคราะห์แล้วได้ความว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยอายุไม่เกิน17 ปี กำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนเทคนิคบุรณพันธ์ ส่วนผู้เสียหายอายุ 15 ปี เป็นนักเรียนวิทยาลัยเทคนิคราชสิทธาราม ผู้เสียหายเบิกความว่าก่อนเกิดเหตุคดีนี้โรงเรียนของผู้เสียหายและโรงเรียนของจำเลยมีเรื่องไม่ถูกกัน เคยยกพวกตีกันและมีการแย่งหัวเข็มขัดกันด้วย ชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่าจำเลยเคยถูกนักเรียนโรงเรียนเดียวกับผู้เสียหายขู่บังคับเอาเข็มขัดไปก่อนเกิดเหตุคดีนี้ไม่นานนัก จำเลยขู่บังคับให้ผู้เสียหายถอดเข็มขัดให้เพราะความโกรธแค้นที่นักเรียนโรงเรียนของผู้เสียหายเคยเอาเข็มขัดของจำเลยไปดังกล่าว ไม่มีเจตนาเป็นอย่างอื่น นอกจากนี้ได้ความว่าวันเกิดเหตุผู้เสียหายสวมนาฬิกาข้อมือ 1 เรือน ราคาประมาณ 700 บาทและแหวนนาก 1 วง ราคาประมาณ 200 บาท แต่จำเลยไม่ได้ขู่บังคับให้ผู้เสียหายส่งทรัพย์ดังกล่าวให้ เข็มขัดที่จำเลยเอาไปมีราคาเพียง 50 บาท เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ทั้งหมดแห่งคดีนี้แล้วศาลฎีกาเห็นว่าหากจำเลยมีเจตนาประสงค์จะเอาทรัพย์ของผู้เสียหายอย่างแท้จริงแล้วก็น่าจะขู่บังคับเอาทรัพย์อื่นของผู้เสียหายไปเพราะมีราคามากกว่า กรณีจึงน่าจะเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำไปด้วยอารมณ์โกรธแค้นที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเพราะตนเคยถูกนักเรียนโรงเรียนเดียวกับผู้เสียหายบังคับเอาเข็มขัดไปก่อนโดยจำเลยหาได้มีเจตนาลักเข็มขัดของผู้เสียหายไม่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามฟ้อง แต่การที่จำเลยขู่บังคับผู้เสียหายให้ส่งเข็มขัดแก่จำเลยนั้น เป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายให้กระทำตามความประสงค์ของจำเลย โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายของผู้เสียหาย เป็นความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคแรกซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ส่วนที่จำเลยฎีกาประการต่อมาว่า คดีนี้เป็นความผิดอันยอมความได้ ผู้เสียหายและจำเลยเบิกความว่าผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความกับจำเลยอีกต่อไปสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปแล้วนั้น พิเคราะห์แล้วได้ความจากผู้เสียหายเพียงว่าตำรวจเรียกผู้เสียหายไปสอบปากคำ2 ครั้ง ครั้งหลังตำรวจได้ไกล่เกลี่ยไม่ให้เอาเรื่อง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นนักเรียน ผู้เสียหายจึงบอกตำรวจว่าไม่ติดใจเอาเรื่องดังนี้ กรณีจึงยังฟังไม่ได้ว่า ผู้เสียหายได้ถอนคำร้องทุกข์หรือมีการยอมความกันตามมาตรา 39(2) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงหาได้ระงับไปไม่ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีนี้แล้วเห็นว่า ปัจจุบันจำเลยยังเป็นนักเรียน ขณะกระทำผิดจำเลยมีอายุไม่เกิน 17 ปี ลักษณะแห่งการกระทำความผิดก็ไม่ร้ายแรงนักไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงเห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย เพื่อให้โอกาสแก่จำเลยสักครั้ง แต่ให้ลงโทษปรับจำเลยอีกโสดหนึ่งด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 309 วรรคแรกลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง จำคุก 6 เดือน ปรับ 3,000 บาทโทษจำคุกรอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี

Share