แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ตายถูกทำร้ายร่างกายในขณะเกิดชุลมุนต่อสู้หรือสมัครใจวิวาทกันระหว่างฝ่ายผู้ตายและฝ่ายจำเลยซึ่งได้เข้าร่วมในการชุลมุนตั้งแต่สามคนขึ้นไป โดยไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้เข้าร่วมในการชุลมุนคนใดใช้มีดแทงทำร้ายร่างกายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เช่นนี้ จะถือว่าผู้ที่สมัครใจเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ทั้งหมดมีเจตนาร่วมกันฆ่าผู้ตายไม่ได้ จำเลยคงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 294 เท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๒๖ เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกับพวกอีกหลายคนได้เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่ ๓ คนขึ้นไปโดยจำเลยกับพวกใช้กำลังกายชกต่อยและมีมีดปลายแหลมและไม้เป็นอาวุธแทงและตีทำร้ายซึ่งกันและกันเป็นเหตุให้นายพงษ์ศักดิ์ สามัญทอง ซึ่งเข้าร่วมในการต่อสู้ดังกล่าวถึงแก่ความตาย โดยจำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงนายพงษ์ศักดิ์ สามัญทอง หลายครั้งเป็นเหตุให้นายพงษ์ศักดิ์ สามัญทอง ถึงแก่ความตาย และจำเลยร่วมกับพวกยังใช้มีดและไม้แทงและตีทำร้ายบุคคลอื่นอีกหลายคนโดยเจตนาฆ่า แต่บุคคลดังกล่าวหลบหนีได้ทันท่วงที จึงไม่ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๙๔, ๘๐, ๘๓, ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ( ฉบับที่ ๖ ) พ.ศ.๒๕๒๖ มาตรา ๔
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๙๔ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ให้จำคุกจำเลยไว้ตลอดชีวิต ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า พยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนฆ่าผู้ตาย คงฟังได้เพียงว่าจำเลยเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๔ จำคุก ๒ ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และผู้ตายซึ่งอยู่ในที่ชุลมุนด้วยถูกแทงทำร้ายถึงแก่ความตาย คงมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาวินิจฉัยเฉพาะที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้ตายด้วยเท่านั้น โจทก์มีนายวิสุทธิ์ หนูแก้ว นายพิสิทธิ์ เรืองศรีศักดิ์กุล และนายสมโชค สมาธิ ซึ่งรู้เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุมาเป็นพยานเบิกความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคดีนี้ว่าจำเลยใช้มีดปลายแหลมทำร้ายนายพงษ์ศักดิ์ผู้ตาย แต่พยานโจทก์ทั้งสามนี้กลับเบิกความเกี่ยวกับเหตุการณ์เดียวกันนี้ไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๘๐๐/๒๕๒๘ ของศาลชั้นต้นว่า คนร้ายถือมีดมีหลายคน ที่สำคัญไม่ได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนแทงทำร้ายผู้ตายแต่อย่างใดโดยเฉพาะนายวิสุทธิ์เบิกความว่านายสงค์หรือสงครามเป็นคนใช้มีดแทงทำร้ายผู้ตาย ส่วนนายพิสิทธิ์กับนายสมโชคเบิกความในคดีก่อนในส่วนที่เกี่ยวกับคนร้ายรายนี้ว่า มีนายเขียว ( ชื่อเหมือนกันกับชื่อจำเลยในคดีนี้ ) ยื่นอยู่ในกลุ่มของนายสงค์หรือสงคราม ซึ่งมีอยู่ประมาณ ๑๐ คนในขณะเกิดเหตุด้วย สำหรับคดีนี้นายวิสุทธิ์ เบิกความว่าจำเลยใช้มีดแทงที่ท้องของผู้ตาย นายพิสิทธิ์เบิกความว่า จำเลยแทงทำร้ายผู้ตาย ๒ ครั้ง คือที่ท้องและหลัง ส่วนนายสมโชคเบิกความตอนแรกว่าขณะเกิดเหตุจำเลยถือเหล็กขูดชาร์ส แต่เบิกความตอนแทงทำร้ายผู้ตายว่าจำเลยใช้มีดแทง อย่างไรก็ดี ตามรายงานการชันสูตรพลิกศพผู้ตายท้ายฟ้องปรากฏว่าผู้ตายถูกแทงมีบาดแผล ๒ แผล คือที่บริเวณหลังด้านซ้ายกับที่บริเวณหลังด้านขวา หาใช่ถูกแทงที่ท้องดังพยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความไม่ เมื่อคำเบิกความของพยานโจทก์ขัดต่อลักษณะภาพบาดแผลของผู้ตายประกอบกับได้ความว่าพยานโจทก์ก็ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยจนต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด และไม่ทราบว่าถูกผู้ร่วมในการชุลมุนคนไหนแทงทำร้ายรวมทั้งพยานโจทก์ได้เบิกความให้ข้อเท็จจริงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรณีคนแทงทำร้ายผู้ตายซึ่งเป็นสาระสำคัญ ๒ ครั้ง แตกต่างกันไม่อยู่กับร่องรอยเช่นนี้ ทำให้น่าเชื่อว่าพยานโจทก์คงเห็นไม่ถนัดหรือไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าผู้ร่วมในการชุลมุนคนไหนใช้มีดแทงทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายสืบเนื่องจากการที่จำเลยกับพวกของจำเลยเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้และแม้พวกของจำเลยจะได้ร่วมทำร้ายร่างกายผู้ตายด้วย ก็ต้องถือว่าจำเลยกับพวกของจำเลยร่วมกันฆ่าผู้ตายนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ตายถูกทำร้ายร่างกายในขณะเกิดชุลมุนต่อสู้หรือสมัครใจวิวาทกันระหว่างฝ่ายผู้ตายและฝ่ายจำเลยซึ่งได้เข้าร่วมในการชุลมุนตั้งแต่สามคนขึ้นไปโดยไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้เข้าร่วมในการชุลมุนคนไหนใช้มีดแทงทำร้ายร่างการผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเช่นนี้ จะถือว่าผู้ที่สมัครใจเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ทั้งหมดมีเจตนาร่วมกันฆ่าผู้ตายไม่ได้ ด้วยเหตุดังได้วินิจฉัยมาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน